Banner
ภาพประกอบการละเล่น
ชื่อการละเล่น ลิเกป่า
รายละเอียดการละเล่น ลิเกป่า ความเป็นมาของลิเกป่า ลิเกป่าเป็นการละเล่นพื้นเมืองอีกประเภทหนึ่งของภาคใต้ที่มีผู้นิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบฝั่งตะวันตก เช่น ตรัง พังงา กระบี่ เป็นต้น การแสดงชนิดนี้เริ่มมีมาสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด บ้างก็ว่าเกิดในจังหวัดกระบี่ บ้างก็ว่าเกิดในจังหวัดตรังแล้วแพร่หลายไปสู่จังหวัดใกล้เคียง กล่าวกันว่าในสมัยพระยาอิศราธิชัยเป็นเจ้าเมือง กระบี่ช่วงประมาณ พ.ศ. 2444 ได้สนับสนุนให้มีการละเล่นลิเกป่ากันอย่างกว้างขวางในงานเทศกาลและในงานอื่นๆ โดยทั่วไป ปัจจุบันแหล่งที่มีคณะลิเกป่าในจังหวัดกระบี่คือ เขตพื้นที่อำเภอเหนือคลอง และอำเภอเขาพนม นักวิชาการหลายท่านสรุปใกล้เคียงกันว่า “ลิเก” เป็นคำที่มาจากศัพท์เปอร์เซียร์ว่า “ดิเกร์” แปลว่าการขับร้องหรือบทสวดของมุสลิม (แขกขาว) ในการสวดครั้งหนึ่งจะมีผู้เข้าร่วมพิธีประมาณ 10 คน สวดเข้ากับจังหวะรำมะนา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ในบรรดาแขกทั้งหลายที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยแต่โบราณนั้น ปรากฏว่า “แขกเจ้าเซ็น” เป็นพวกหนึ่งที่ได้รับพระราชูปถัมภ์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อมีงานพระราชพิธีต่างๆ พวกเจ้าเซ็นได้เข้าร่วมสวดสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเพื่อถวายพระพรแด่พระมหากษัตริย์ บทสวดหรือเพลงร้องนั้นเรียกว่า “เพลงดิเกร์” นอกจากแขกเจ้าเซ็นจะมีบทบาทเป็นผู้สวดในการสรรเสริญและขอพรเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลถวายแด่ พระมหากษัตริย์แล้ว กลุ่มขุนนางในราชสำนักก็ยังนิยมเชิญให้ไปสวดตามบ้านเรือนด้วยเช่นกัน ซึ่งต่อมาก็มีคนไทย หัดร้องลิเกตามแบบขึ้นบ้างโดยใช้ทำนองเหมือนกันก่อน แล้วก็เริ่มดัดแปลงมากขึ้น สันนิษฐานว่าลิเกป่าเป็นการแสดงที่พัฒนามาจากการขับบทสวดของแขกเจ้าเซ็น แต่เป็นการพัฒนาโดยหล่อหลอมวัฒนธรรมถิ่นใต้เข้าไปผสมผสาน ดังจะเห็นได้จากเครื่องดนตรีพื้นบ้านถิ่นใต้ที่ถูกนำเข้ามาใช้ในการแสดงลิเกป่าเช่น ปี่ โหม่ง ทับ กลองตุ๊ก ที่นิยมใช้ในการแสดงมโนราห์และหนังตะลุง รูปแบบการแสดงลิเกป่า ลิเกป่าแสดงได้เกือบทุกงานในหมู่บ้าน ส่วนมากมักจะเป็นงานมงคล สมัยก่อนแสดงบนลานกลางแจ้งเหมือนมโนราห์ ต่อมามักปลูกเวทียกพื้นสูงเพื่อความสะดวกของผู้ชม ลิเกป่าคณะหนึ่งมีประมาณ 10–20 คน ทั้งตัวแสดงและนักดนตรี ในคณะลิเกป่านอกจาก ตัวผู้แสดงแล้วก็มีลูกคู่ตามจำนวนเครื่องดนตรี คือ รำมะนา 1 คน กลอง 1 คน โหม่ง 1 คน และอาจมีฉิ่ง 1 คน และปี่หรือซอ 1 คนก็ได้ บางโรงอาจมีหมอทางไสยศาสตร์ประจำคณะติดตามมาด้วย บางคณะอาจมีสมาชิกในครอบครัวติดตามไปด้วยเพื่อประสานงานและอำนวยความสะดวกอื่นๆ สำหรับลูกคู่นั้น นอกจากจะบรรเลงดนตรีแล้ว บางคนอาจเป็นตัวแสดงด้วยในกรณีที่ต้องการใช้ตัวแสดงมากในโอกาสที่แสดง จินตนิยายอื่นๆ เนื้อเรื่องหลักของลิเกป่าก็คือ การแสดงชุด “แขกแดง” เป็นเรื่องราวของแขกจากเมืองลักกะตา (กัลกัตตา) ประเทศอินเดีย เดินทางมาค้าขายที่เมืองไทยแถบชายฝั่งทะเลตะวันตก มาได้ภรรยาเป็นคนไทยชื่อ ยายี หรือ ยาหยี ต่อมา แขกแดงคิดถึงบ้านก็ชวนยาหยีเดินทางกลับบ้านที่ลักกะตา บทลิเกป่ามีลักษณะเป็นคำกลอนที่แต่ละคณะได้แต่งขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงของตน เนื้อเรื่องจึงมีความสั้นยาวแตกต่างกันไปโดยไม่เสียโครงเรื่องหลัก ดังนั้นจึงสามารถย่อเรื่อง แขกแดงให้จบลงในระยะเวลาอันสั้น หรือจะยืดเรื่องให้แสดงทั้งคืนก็ย่อมได้ โดยปกติแล้วลิเกป่าไม่นิยมแสดงเรื่องอื่นเลย มีแต่กล่าวไว้ในการว่าเพลงหรือบอกชุดเท่านั้น โรงลิเกป่า สมัยก่อนแสดงบนพื้นดิน เช่น สนามหญ้า ลานวัด ลานบ้าน คล้ายการแสดงมโนราห์ ปลูกโรงง่ายมีเพียงม่านกั้นธรรมดาเพื่อแบ่งสัดส่วนสำหรับการแต่งกายของคณะลิเกเท่านั้น ต่อมาเมื่อลิเกป่าต้องไปแสดงในงานเทศกาลต่างๆ ที่มีผู้ชมมาก จึงมีการยกพื้นเป็นเวที ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกของผู้ชมนั่นเอง ในปัจจุบันทุกคณะมักจะมีฉากสวยเหมือนกับคณะลิเกภาคกลาง เครื่องดนตรีลิเกป่า 1. รำมะนามี 2 ลูก ลักษณะเป็นกลองหน้าเดียวเหมือนรองเง็ง นับว่าเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดจะขาดรำมะนาเสียมิได้ บางครั้งเราเรียกลิเกชนิดนี้ว่า “ลิเกรำมะนา” สันนิษฐานว่า สมัยแรกอาจใช้เครื่องดนตรีเพียงรำมะนาเท่านั้น 2. โหม่ง (หรือ ฆ้องคู่) 2 คู่ คล้ายของมโนราห์ 3. ฉิ่ง 1 คู่ 4. กลองตุ๊ก 1 ลูก 5. ปี่ 1 เลา บางครั้งใช้ซอด้วย ตัวละคร ลิเกป่ามีตัวละครสำคัญเพียง 3 ตัวคือ 1. แขกแดง 2. ยาหยี 3. เสนา คณะลิเกที่แสดงแถบจังหวัดกระบี่จะมีตัวประกอบเพิ่มเติม ดังนี้ 1. เจ้าเมือง 2. นายด่าน 3. แม่ของยาหยี หากเป็นการแสดงชุดอื่น ก็จะเปลี่ยนตัวละครให้สอดคล้องกับเรื่องราวนั้นๆ ภาษาในการแสดง เนื่องจากลิเกป่าเป็นการแสดงบ้านนอกจึงไม่เคร่งครัดในการใช้ภาษามากนัก อย่างไรก็ดี การแสดงลิเกป่ามีเอกลักษณ์เรื่องภาษาพูดที่ใช้ในการแสดงคือ แขกแดงจะใช้ภาษาถิ่นใต้แต่ดัดสำเนียงให้ลิ้นรัวเป็นแขก ส่วนยาหยีนั้นจะใช้ภาษากลางหรือภาษาใต้ก็ได้ ศิลปะการพูดก็อยู่กับปฏิภาณของแต่ละคนจะมี “ลูกเล่น” ในการเจรจาอย่างไร การแต่งกาย แขกแดง มักนุ่งกางเกงขายาว ผ้าโสร่งสวมทับเพียงเข่า สวมเสื้อแขนยาวและมีเสื้อนอกทับอีกทีหนึ่ง สวมหมวก ใส่หนวดหรือแต้มหนวดให้มีเครารุงรัง บางครั้งก็มีสายสร้อยสวมด้วย เสริมจมูกให้โตแบบแขก ส่วนมากมักทำด้วยไม้ทาสีแดง บางคณะอาจให้นุ่งผ้าขาวโจงกระเบนทิ้งชาย สวมเสื้อแขนยาว ติดหนวดรุงรัง มีประคำคล้องคอ มีผ้าโพกศีรษะแทนการสวมหมวก การแต่งตัวแขกแดงของลิเกป่ามุ่งเลียนแบบแขกอินเดียเป็นสำคัญ ยาหยี แต่งแบบหญิงมุสลิมภาคใต้ หรือแต่งแบบผู้หญิงไทยทั่วไปแถบชายทะเลตะวันตกคือ นุ่งผ้าปาเต๊ะสีต่างๆ สวมเสื้อแขนยาวมีผ้าคลุมผมที่เรียกว่า “ผ้าฮีญาบ” เสนา เจ้าเมือง (หรือนายด่าน) ตัวแสดงอื่นๆ (ถ้ามี) แต่งตามความเหมาะสมของท้องเรื่อง อย่างไรก็ตามเนื่องจากลิเกป่าเป็นของท้องถิ่นชนบท การ ลงทุนน้อยจึงแต่งกายไม่หรูหราเหมือนลิเกทรงเครื่องหรือลิเกภาคกลาง ลำดับขั้นตอนการแสดงลิเกป่า 1. การเบิกโรง เป็นการเซ่น บวงสรวงเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ ให้ลงมาประจำอำนวยอวยชัยให้ดำเนินการแสดงไปราบรื่นตลอด หัวหน้าคณะจะทำพิธีเบิกโรง ด้วยเครื่องประกอบพิธีคือ หมากพลู 3 คำ เทียน 1 เล่ม และค่ากำนล 12 บาท 2. ไหว้ครู (หรือ เชิญครู, เพลงวง) เป็นการร้องเพลงวงหมุนเวียนภายในวงลูกคู่เพื่อเอ่ยชื่อครูลิเกป่าให้มาประจำ โรง เพลงวงนี้จะใช้ทำนองหมุนเวียนเปลี่ยนจนหมดคนในคณะ จบแล้วจึงร้องเพลงสรุปเชิญครู 3. การร้องบอกชุด หลังจากที่ร้องเชิญครูแล้ว ลิเกป่าจะร้องบอกชุด 12 ชุด ไม่มีการแต่งกายออกมาประกอบชุดแต่อย่างใด ชุดการแสดงต่างๆ ทั้ง 12 ที่ร้องบอกนั้นส่วนใหญ่ลิเกป่าไม่นิยมนำมาแสดง จะแสดงอยู่เพียงชุดเดียวคือ แขกแดง หากมีเวลาเหลือจากการแสดงมากๆ ก็จะแสดงนิยายเรื่องอื่นๆ ที่แต่งขึ้นมากันเอง จึงเป็นการร้องบอกชุดตามธรรมเนียมเสียมากกว่า 4. ออกแขก เป็นการออกแขกเรียกว่า “เต้นเทศ” (เทศคือแขกอินเดีย) เป็นการโชว์การเต้นของแขก เล่าความเป็นมาของตนและยาหยีซึ่งเป็นคนไทย ลีลาการเต้นของแขกถือว่าเป็นศิลปะสำคัญของการแสดง ขณะที่เริ่มออกแขกนั้นมิใช่จะเดินออกมาเฉยๆ แต่จะต้องเต้นออกมาตามจังหวะรำมะนา หากมีม่านหรือฉากเป็นเครื่องประกอบก็เรียกว่า การเต้นกระตุกม่าน เมื่อแขกออกมาเต้นหลายท่าพอสมควรแล้วก็เข้าโรงไป จากนั้นจึงจับเรื่องแสดงต่อไปจนจบเรื่อง สำหรับท่ารำของยาหยีนั้น เป็นท่าที่อ่อนช้อยตามจังหวะดนตรี คล้ายท่ารองเง็งแบบเก่า 5. เรื่องย่อชุดแขกแดง แขกแดงมาจากอินเดีย มาค้าขายตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองกระบี่ ได้ภรรยาเป็นชาวพื้นเมืองชื่อว่า ยาหยี อยู่มานานก็คิดถึงบ้านที่เมืองลักกะตา (กัลกัตตา อินเดีย) จึงขึ้นไปบอกลาเจ้าเมืองว่าจะพายาหยีไปด้วยและขอบ่าวเพื่อช่วยเหลือในการเดินทางไปเยี่ยมบ้าน เจ้าเมืองก็อนุญาต จากนั้นก็เล่าบอกเรื่องที่ตนอยากกลับบ้านให้ยาหยีฟัง ใน ชั้นแรกยาหยีไม่ยอม อ้างว่าเป็นห่วงพ่อแม่พี่น้อง กลัวจะไม่มีคนดูแลพ่อแม่ก็แก่ชรามากแล้ว แขกก็อ้อนวอนด้วยประการต่างๆ นางก็ไม่ยอมไป แขกต้องใช้วิธีข่มขู่นางจึงยอม จากนั้นทั้งสองก็จัดข้าวของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับการเดินทาง ก่อนจะลงเรือทั้งแขก ยาหยี และเสนา ต่างก็ผลัดกันร่ำลาผู้ชม เมื่อลาเสร็จก็ลงเรือออกเดินทาง ระหว่างที่แล่นเรือไปในทะเล แขกก็ชี้ชวนให้ยาหยีชมเกาะ ชมนกชมไม้ ชมปลา ตกกลางคืนก็ชมดาวชมเดือน ผจญคลื่นลมไปจนถึงเมืองลักกะตา 6. การส่งครู เมื่อจบการแสดงในแต่ละคืนก็จะต้องส่งครูกลับ เป็นอันเสร็จสิ้นการแสดงลิเกป่า ภาษาที่ใช้ ตัวแขกแดงจะพูดภาษาไทยท้องถิ่นดัดเสียงให้รัวเหมือนแขก ตัวเสนา จะพูดภาษาท้องถิ่น เจ้าเมืองจะพูดภาษากลาง ยาหยีพูดสำเนียงท้องถิ่น เนื้อเรื่อง ชุดแขกแดงมีว่า " มีแขกมาจากเมืองกะตา (กัลกัตตา ?) บ้างก็ว่ามาจากเมืองโอปุระ สุไหงปุระมาค้าขายทางฝั่งทะเลตะวันตกของไทย มาได้ภรรยา (ยายี / ยาหยี) เป็นสาวไทย อยู่มาวันหนึ่งแขกมีความคิดถึงบ้าน ก็ขึ้นไปร่ำลาเจ้าเมืองเพื่อเดินทางไปเยี่ยมบ้านเจ้าเมืองให้เสนาไปด้วยคนหนึ่ง แขกกับเสนาร่ำลาเจ้าเมืองไปหายาหยี ครั้งแรกยาหยีไม่ยอมเดินทางไปด้วยเพราะเป็นห่วงพ่อแม่ แขกทั้งปลอบทั้งขู่จนกระทั่งยาหยียอมไป ทั้งหมดลงเรือไปในทะเล ชมนก ชมปลา ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงเมืองลักกะตา " การแสดงในครั้งนี้ออกจะพิเศษกว่าการเล่นลิเกป่าโดยทั่วไป เพราะทางผู้จัดตั้งใจจะให้เป็นการแสดงกึ่งสาธิตโดย อ.วาที ทรัพย์สิน ทำหน้าที่เสมือนคนนำทางที่ค่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปรู้จักลิเกป่าทีละเรื่องทีละส่วน รวมทั้งเปิดโอกาสให้เกิดการสอบถามแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ชมและผู้แสดงในช่วงท้ายรายการด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ชมชาวกรุงได้เรียนรู้จากการแสดง มากกว่าจะเป็นเพียงการนั่งชม “โชว์ การแสดงของชาวบ้าน” ที่แปลกตา ฉาบฉวย และผ่านลืมไปในที่สุด ในด้านหนึ่งสันติภาพของมวลมนุษยชาติอาจมีจุดเริ่มต้นจากความพยายามที่จะทำความเข้าใจ “คนอื่นที่แตกต่าง” อย่างอดทนและจริงจังก็เป็นได้ โอกาสที่เล่น ลิเกป่าแสดงได้เกือบทุกงาน แล้วแต่เจ้าภาพจะรับไปแสดง โรงลิเกป่าเหมือนกับโรงมโนห์รา มีหลังคายกพื้นให้สูงขึ้นเพื่อความสะดวกของผู้ชม สมัยก่อนนั้นแสดงบนพื้นดินซึ่งไม่สะดวกมีฉากประกอบเหมือนมโนห์ราหรือลิเกอื่นๆทั่วไป การที่เรียกลิเกชนิดนี้ว่าลิเกป่า เห็นทีจะสืบเนื่องมาจากการเล่นที่ไม่ยึดถือแบบฉบับที่แน่นอน ขาดความสมบูรณ์ในทุกด้าน คุณค่า ลิเกป่านิยมเล่นกันแถบชนบท บ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก นิยมเล่นกันแถบชนบท บ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก แต่ถ้าใครรับไปแสดงในงานต่างๆ ก็จะรวมสมัครพรรคพวกไปเล่นได้ อัตราค่าแสดงก็ไม่แน่นอนแล้วแต่ข้อตกลงกับเจ้าภาพ เช่น ระยะเวลาที่แสดง ระยะทางและค่าพาหนะในการเดินทาง เป็นต้น ปัจจุบันลิเกป่าเสื่อมความนิยมลงไปมาก เพราะการแสดงและสิ่งบันเทิงอื่นๆมีอิทธิพลมากกว่า ผู้คนจึงรู้จักลิเกป่าน้อยลง ผู้ที่เล่นลิเกป่าได้จึงมักจะเป็นผู้สูงอายุ พร้อมที่จะล้มหายตายจากไปกับกาลเวลา ดังนั้นในระยะอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าหากไม่มีการอนุรักษ์การเล่นชนิดนี้ไว้ ก็คงจะหาดูลิเกป่าไม่ได้อีกเลย
เอกสารเพิ่มเติม

ดาวน์โหลด

ติดต่อเรา

สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

ที่อยู่ 181 ถ.เจริญประดิษฐ์ ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี 94000

โทรศัพท์ 073-331-250

โทรสาร 073-331-250

อีเมล sarabun-cul@psu.ac.th

ติดตามข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจ

Website

Facebook

Instagram

TikTok

YouTube