| ชื่อการละเล่น | ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ : ปืด |
|---|---|
| รายละเอียดการละเล่น | ความเป็นมา ปืดเป็นดนตรีที่ใช้เฉพาะชาวไทยพุทธในกลุ่มของภาคใต้ของไทย มีหลายเผ่าพันธุ์และมีหลายกลุ่ม ใช้กันมากในจังหวัดนครศรีธรรมราช แถวอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช อำเภอท่าศาลา อำเภอปากพนัง อำเภอเชียรใหญ่และอำเภอหัวไทร ในอดีตมีการติดต่อค้าขาย มีความสัมพันธ์กับอินเดีย จีน ชวา - มลายู ตลอดจนติดต่อกับคนไทยในภาคกลาง ที่เดินทางไปค้าขายติดต่อกันด้วย ในชนบทความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง ลักษณะของดนตรีพื้นบ้าน จึงเป็นลักษณะเรียบง่าย ประดิษฐ์อย่างง่ายๆ จากวัสดุใกล้ตัวมีการรักษาเอกลักษณ์ และยอมให้มีการพัฒนาได้น้อยมาก ดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิมน่าจะมาจากเผ่าพันธุ์เงาะซาไก ประเภทเครื่องตี โดยใช้ไม้ไผ่ลำขนาดต่างๆ กัน ตัดออกเป็นท่อน สั้นบ้างยาวบ้าง ตัดปากของกระบอกไม้ไผ่ ตรงหรือเฉียง บ้างก็หุ้มด้วยใบไม้ กาบของต้นพืช ใช้บรรเลง (ตี) ประกอบการขับร้องและเต้นรำ เครื่องดนตรี ค่อยๆ พัฒนามาเป็นแตร กรับ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีมาแต่เดิมทั้งสิ้น ในระยะต่อมาหลังจากมีการติดต่อ การค้าขายกับอินเดียและจีน การถ่ายโยงวัฒนธรรมย่อมเกิดขึ้น สังเกตได้จากทับ (กลอง) ที่ใช้ประกอบการเล่นโนรา มีร่องรอยอิทธิพลของอินเดียอย่างชัดเจน และการมีอาณาเขตติดต่อกับชวา - มลายู ภาษาและวัฒนธรรมทางดนตรี จึงถูกถ่ายโยงกันมาด้วย เช่น แถบจังหวัดภาคใต้ที่ติดเขตแดน อาจกล่าวได้ว่าดนตรีพื้นบ้าน ของภาคใต้มีอิทธิพลแบบชวา มลายูก็ยังไม่ผิด เช่น รำมะนา (กลองหน้าเดียว) ในช่วงสมัยกรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช) เมืองนครศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์กับภาคกลางอย่างแนบแน่น และเป็นศูนย์กลางความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมด้านการแสดงและดนตรี จนมีชื่อว่า “เมืองละคอน” ในสมัยกรุงธนบุรีพระเจ้าตากสินมหาราช โปรดให้นำละครจากเมืองนครศรีธรรมราช ไปฝึกละครให้นักแสดงในสมัยนั้น จึงเป็นการถ่ายโยงวัฒนธรรม ด้านดนตรีกลับไปสู่เมืองนครศรีธรรมราชด้วย เช่น ปี่นอก ซออู้ และซอด้วง ใช้ประโคมเฉพาะเทศกาลเนื่องในพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลลากพระ เดือน 11 และวันสำคัญทางราชการเท่านั้น ความสำคัญ ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ได้รับใช้สังคมของชาวใต้ พอสรุปได้ดังนี้ 1. บรรเลงเพื่อความรื่นเริง คลายความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน ซึ่งจะบรรเลงควบคู่กันไป กับการละเล่นและการแสดง เพราะดนตรีพื้นบ้านภาคใต้จะไม่นิยมบรรเลงล้วนๆ เพื่อฟังโดยตรง แต่จะนิยมบรรเลงประกอบการแสดง 2. บรรเลงประกอบพิธีกรรม เพื่อบวงสรวง หรือติดต่อกับสิ่งลี้ลับ เพราะในอดีตสังคมส่วนใหญ่ ติดอยู่กับความเชื่อเรื่องผี วิญญาณ เช่น มะตือรีของชาวไทยมุสสลิม โต๊ะครึมของชาวไทยพุทธ ที่ใช้เพื่อบรรเลงในงานศพ โดยมีความเชื่อว่าเป็นการนำวิญญาณสู่สุคติ การบรรเลงกาหลอ ในงานศพบทเพลงส่วนหนึ่งเป็นการบรรเลงเพื่ออ้อนวอนเทพเจ้า ดนตรีชนิดนี้จึงมุ่งให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ มีอานุภาพให้เกิดความขลัง ยำเกรง 3. ใช้บรรเลงเพื่อการสื่อสาร บอกข่าว เช่น การประโคมปืดและประโคมโพน เป็นสัญญาณบอกข่าวว่าที่วัดมีการทำเรือพระ (ในเทศกาลชักพระ) จะได้เตรียมข้าวของไว้ทำบุญ และไปช่วยตกแต่งเรือพระ หรือการได้ยินเสียงบรรเลงกาหลอก้องไปตามสายลมก็บอกให้รู้ว่ามีงานศพ ชาวบ้านก็จะไปช่วยทำบุญงานศพกันที่วัดนั้นๆ โดยจะสืบถามว่าเป็นใครก็จะไปเคารพศพ โดยไม่ต้องพิมพ์บัตรเชิญเหมือนปัจจุบันนี้ 4. ใช้บรรเลงเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ เช่น การบรรเลงกรือโต๊ะ หรือบานอโดยชาวบ้าน จะช่วยกันสร้างดนตรีชนิดนี้ขึ้นมาประจำหมู่บ้านของตน และจะใช้ตีแข่งขันกับหมู่บ้านอื่นๆ เพื่อเป็นการสนุกสนานและแสดงพลังความสามัคคี เพราะขณะที่จะมีการประกวดจะต้องช่วยกันทำ ถ้าแพ้ก็ถือว่าเป็นการปราชัยของคนทั้งหมู่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขัน ในโอกาสต่อไปก็จะต้องช่วยกันทำใหม่ ให้ดีกว่าเก่า เครื่องดนตรีพื้นบ้านของภาคใต้ 1. ประเภทดีด ในภาคใต้ไม่มีเครื่องดนตรีประเภทนี้ จะมีแต่ของพวกเงาะซาไกที่ใช้ไม้ไผ่ 1 ปล้องมา กรีดเอาผิวของไม้ไผ่ให้เป็นริ้วๆ ทำหมอนรองริ้วผิวไม้ไผ่หลายๆ ริ้ว แล้วใช้นิ้วดีดหากพบการบรรเลงด้วยจะเข้ หรือพิณ เป็นเครื่องดนตรีของภาคอื่นที่เข้าไปในระยะหลัง ซึ่งไม่นับเป็นดนตรีพื้นบ้านของภาคใต้ 2. ประเภทตีของภาคใต้มีหลายชนิด ได้แก่ 2.1 ทับ เป็นกลองทำด้วยไม้เนื้อแข็งเอวคอดปากบาน ท้ายเรียวบานออกเล็กน้อย ขึงด้วย หนังสัตว์หน้าเดียว ขึงหนังด้วยหวายรัดดึงให้ตึง มีหลายขนาดตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลาง ด้านหน้า 5 นิ้ว ใช้บรรเลงประกอบการแสดงหนังตะลุง เรียกว่า ทับหนัง ขนาด 8 นิ้ว ใช้บรรเลงประกอบการเล่นโนราเรียกว่า ทับโนรา ขนาดใหญ่ 12 นิ้ว ใช้บรรเลงในการเล่นโต๊ะครึม เรียกว่า ทับโต๊ะครึม 2.2 โหม่ง คือ ฆ้องคู่ทำด้วยโลหะ ใบเล็ก 1 ใบ ใบใหญ่ 1 ใบ ประกอบอยู่ในกล่องไม้ให้เกิด เสียงก้อง เวลาบรรเลงมีไม้ตีหุ้มยางหรือผ้าไม่ให้เสียงแตกและมีไม้เนื้อแข็ง 4 เหลี่ยม 1 อัน เอาไว้สัมผัสกับหน้าโหม่งให้หยุดเสียง ใช้บรรเลงประกอบการเล่นหนังตะลุง โนราและลิเกป่า แต่เดิมใช้ไม้ทำโหม่ง เรียกว่า โหม่งฟาก ต่อมาได้วิวัฒนาการมาเป็นหล่อด้วยเหล็กและทองเหลือง มาโดยลำดับ เรียกว่า โหม่งเหล็กและโหม่งหล่อ 2.3 กลอง มี 2 ลักษณะคือ หุ้มหรือขึงด้วยหนังสัตว์หน้าเดียว และสองหน้า ได้แก่ 2.3.1 โทนหรือกลองทัด (คล้ายกลองเพลของภาคกลาง) ปกติจะใช้ตีบอกเวลา และ ใช้ตีในเทศกาลออกพรรษา ใช้ประโคมเรือพระ (ชักพระและใช้ตีแข่งขันกันด้วยที่เรียกว่า แข่งโพน หรือชันโพน (ประชัน) 2.3.2 กลองตุ๊ก ลักษณะเหมือนกลองโนรา แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก ขึงด้วยหนัง 2 หน้า ใช้บรรเลงประกอบ การแสดงหนังตะลุง 2.3.3 กลองโนรา จัดว่าเหมือนกลองตุ๊ก แต่ใหญ่กว่ามาก ขึงด้วยหนัง 2 หน้า ใช้บรรเลงประกอบการแสดงโนรา 2.3.4 กลองโทน หรือกลองแขก เป็นกลองที่ขึงด้วยหนังสัตว์ 2 หน้า หัวท้ายไม่ เท่ากัน ขนาดยาว 60 - 70 เซนติเมตร ตีด้วยแขนงไผ่หรือหวาย ตีได้ทั้ง 2 หน้า ใช้บรรเลงประกอบการเล่นกาหลอ ประกอบการแสดง ซีละ และมะโย่ง 2.3.5 ปืด เป็นกลอง 2 หน้า ลักษณะคล้ายตะโพนของภาคกลาง และมีขาตั้งเป็นไม้แบบตะโพนไทยใช้ตีเวลาประโคมเรือพระเทศการพรรษาและใช้ตีแข่งขันที่เรียกว่า แข่งปืดหรือชันปืด (ประชัน) 2.3.6 รำมะนา ขึงหน้ากลองด้วยหนังหน้าเดียว ตัวกลองสั้น หน้ากลองกว้างมาก ขนาด 45 - 50 เซนติเมตร ตัวกลองหนาราว 14 - 70 เซนติเมตร ใช้ประกอบการเล่นลิเกป่า ลิเกฮูลู มะโย่ง และรองเง็ง 2.3.7 บานอ ลักษณะคล้ายรำมะนา แต่มีขนาดหน้าตัดใหญ่กว่ามาก ขึงด้วยหนังสัตว์หน้าเดียว หน้ากลองนิยมเขียนลวดลาย ด้วยสีสันสวยงาม ใช้ตีพร้อมๆ กันหลายๆ ลูก และ ใช้แข่งขันกัน 2.4 เครื่องตีที่ทำด้วยไม้ล้วนๆ และเครื่องประกอบจังหวะ 2.4.1 กรือโต๊ะ ทำด้วยไม้เนื้อแข็งขุด เป็นทรงคล้ายกระโถน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 20-25 เซนติเมตร เรียกว่า ตัวกรือโต๊ะ และบนปากของตัวกรือโต๊ะ จะใช้ไม้เนื้อแข็งหนายาวกว่าตัวกรือโต๊ะพาดอยู่ เจาะรูตรงกลางให้ตรงกับปากของตัวกรือโต๊ะ และมีสลักไม้ 4 ด้าน กั้นอยุ่มีแผ่นไม้วาง ขนาดยาว 40 - 70 เซนติเมตร วางอยู่เรียกว่า เด๊าว์ หรือใบ เวลาตีใช้ไม้พันยางเพื่อให้มีแรงสั่นสะเทือน ตีลงบนใบ เสียงก็จะก้องลงไปยังตัวกรือโต๊ะ นิยมใช้แข่งขันกันเท่านั้น เรียกว่าแข่งกรือโต๊ะ 2.4.2 ฆ้อง ทำด้วยโลหะหล่อ ใช้บรรเลงประกอบการเล่นกาหลอ มะโย่ง ซีละ โนราแขก และลิเกป่า ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 - 30 เซนติเมตร 2.4.3 แตระ แกระ หรือซีแระ ทำด้วยไม้ไผ่เกิดเสียงด้วยการกระทบกัน ใช้ตีประกอบการเล่นโนรา โนราแขก และมะโย่ง 2.4.4 หรับ และฉิ่ง ใช้ตีประกอบดนตรี หนังตะลุงและโนรา 3. ประเภทเป่า ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ประเภทเครื่องเป่ามีดังนี้ 3.1 ปี่ต้น นิยมใช้บรรเลงประกอบ การแสดงในโนราสมัยโบราณ (ปัจจุบันไม่นิยม) 3.2 ปี่กลาง หรือเรียกว่า ปี่หนังตะลุงปี่โนรา ใช้ประกอบการ แสดงหนังตะลุงและโนราใน ปัจจุบันลักษณะตัวปี่ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง เจาะรูยาวตลอด ตัวปี่มีรูสำหรับปิดเปิดเสียง ประกอบด้วยลิ้นปี่ (เหมือนปี่ใน) 3.3 ปี่ห้อ หรือปี่ฮ้อ ใช้บรรเลงในวงดนตรีกาหลอ หรือเรียกว่า ปี่กาหลอ 4. ประเภทสี ได้แก่ 4.1 ซอด้วง ชาวภาคใต้บางกลุ่ม เรียกซออี้ ใช้บรรเลงประกอบ การแสดงโนราและหนังตะลุง ลักษณะเหมือนซอด้วง ของภาคกลาง แต่กะโหลกซอ จะใหญ่กว่าของภาคกลาง มี 2 สายเช่นเดียวกัน 4.2 ซออู้ ใช้ประกอบการแสดง โนราและหนังตะลุง ลักษณะเหมือนซออู้ภาคกลาง มี 2 สาย เวลาบรรเลงจะเป็นตัว ช่วยทำให้เสียงอื่นที่แหลมลดลง เป็นการประสานเสียงที่ดี 4.3 ซอฆือปะ เหมือนซอสามสาย ของภาคกลางใช้บรรเลง ประกอบการเล่นมะโย่ง มะตือรี และโนราแขก ลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ 1. เครื่องดนตรีพื้นบ้านของภาคใต้ ส่วนใหญ่ และดั้งเดิม จะเป็นเครื่องตี ใช้ปืดล้วนๆ ประโคม หรือใช้เครื่องดนตรีอื่นๆ และที่จัดได้ว่าเป็นเครื่องสำคัญ คือ ฆ้อง ระฆัง ทับ รำมะนา กลอง และโหม่ง รองลงมาคือ เครื่องเป่า เครื่องสี เครื่องดีด เกือบจะไม่มีบทบาทเลย 2. ผู้บรรเลงผู้เล่น จะเป็นแต่ชายล้วนเพราะปืดถือเป็นสมบัติของวัด ชาวบ้านจะไม่สร้างปืดเป็นสมบัติส่วนตัว เพราะถือว่าการเล่นดนตรีเพื่อพิธีกรรม ถ้าหญิงเล่นจะคลายความศักดิ์สิทธิ์ไป และเครื่องดนตรีบางอย่างต้องใช้แรงมาก ปืดใบหนึ่ง ๆจะผลัดกันตีคราวละคน ตามแต่ใครศรัทธาจะประโคม แต่ถ้าเป็นการแข่งขันก็ต้องเลือกคนตีที่มีฝีมือ ดนตรีชนิดนี้จึงไม่มีคณะอย่างดนตรีประเภทอื่น 3. โอกาสที่จะเล่น ใช้เล่นประโคมเพื่อความครึกครื้นในงานลากพระเดือน 11 งานกฐิน งานวันสำคัญทางราชการ เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา และใช้ตีประชันกันเรียกว่า “ชันปืด” หรือ “แข่งปืด” 4. สถานที่เล่น เล่นในบริเวณที่ตั้งเรือพระภายในวัด บริเวณที่ตั้งองค์กฐินเพื่อทำพิธีสมโภช และบริเวณที่จัดพิธีกรรมในวันสำคัญทางราชการ การเล่นอาจเล่นบนศาลาหรือบนพื้นดินก็ได้ ถ้าเล่นชันปืด นอกจากใช้สถานที่ดังกล่าวแล้ว อาจเล่นประชันกันในทุ่งโล่งก็ได้ ไม่ต้องยกโรงสำหรับเล่น 4. เพลงที่ใช้เล่น เพลงปืดไม่มีชื่อเรียก แต่มีทวงทำนองลีลาหลายอย่าง ถ้าบรรเลงเดี่ยวจะตีดังต่างๆ กันเช่น ป๊ะผั่ง ป๊ะผั่ง ป๊ะผั่งผั่งป๊ะผั่งผั่ง, ผั่งป๊ะผั่ง ผั่งป๊ะผั่ง, ป๊ะผั่งป๊ะ ป๊ะผั่งป๊ะ ถ้าบรรเลงโดยใช้ฆ้อง ระฆัง และกลอง ประกอบจะตีดังต่างๆ กัน เช่น ป๊ะผั่ง ตุม (เสียงฆ้อง ระฆัง กลอง ตีพร้อมกัน), ป๊ะผั่ง โหม่ง เข้ง ตุม ตีปืด โหม่ง ระฆัง และกลอง ตามลำดับ) 5. วัตถุประสงค์ในการเล่นที่สำคัญ คือ เพื่อประกอบพิธีกรรม รองลงมาคือเพื่อความรื่นเริง ขนบนิยมในการเล่น การเล่นประโคมเรือพระ เรียกในภาษาถิ่นใต้ว่า “คุมพระ” นิยมเล่นตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เรื่อยไปจนถึงวันแรม 2 ค่ำ เดือน 11 โดยเล่นเฉพาะในวัดที่จัดให้มีเรือพระสำหรับลากพระในปีนั้นๆ เท่านั้น ลากพระในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11) การเล่นนอกจากเพื่อความครึกครื้นแล้ว ยังเพื่อบอกกล่าวให้ทราบว่าวัดนั้นๆ จะมีการลากพระด้วย การคุมพระจะใช้ปืดจำนวนเท่าใดก็ได้ ผู้ตีผลัดเปลี่ยนกันไปเรื่อยๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร วันที่คุมพระกันอย่างจริงจังและสนุกสนานมาก คือวันขึ้น 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เพราะอยู่ในช่วงเทศกาลลากพระ การเล่นประโคมกฐิน เรียกในภาษาถิ่นใต้ว่า “คุมฐิน”จะเล่นในคืนสมโภชกฐิน คือคืนก่อนวันนำองค์กฐินไปทอด เล่นกันตลอดคืนแบบเดียวกับคุมพระ การเล่นในวันสำคัญทางราชการ จะเล่นก็ต่อเมื่อนัดแนะกันเป็นพิเศษ โดยกำหนดสถานที่จัดพิธีและประโคมปืด การประโคมแบบเดียวกับการเล่นในงานทั้งสองที่กล่าวแล้ว การเล่นชัดปืด การเล่นชันปืดคงเกิดจากเมื่อถึงเทศกาลลากพระต่างวัดต่างก็มีปืดคุมพระ ในวัดเดียวกันก็มีปืดหลายใบ เกิดการถกเถียงกันว่าปืดของวัดใดหรือปิดใบใดเสียงดีกว่า จึงเกิดการประชันเสียงกันขึ้น การชันปืดนิยมจัดในเทศกาลลากพระ ส่วนโอกาสอื่นก็มีบ้าง วิธีเล่นเมื่อถึงวัน เวลาที่กำหนดนัดประชัน ผู้เข้าประชันจะนำปืดมายังที่ที่กำหนด เช่น ลานวัด กลางทุ่งนา กรรมการซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเรื่องปืดเป็นอย่างดีจะแบ่งกลุ่มปืดออกเป็น 3 กลุ่มตามขนาด ดังนี้ 1) ขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหน้าโตประมาณ 12 นิ้วขึ้นไป 2) 2) ขนาดกลางมีเส้นผ่าศูนย์กลางหน้าโต 11 นิ้ว 3) ขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางหน้าโตไม่เกิน 10 นิ้ว ปืดแต่ละขนาดจะจับคู่เพื่อแข่งขันกันเป็นคู่ๆ แล้วกรรมการแยกออกเป็น 2 ชุด ชุดหนึ่งประมาณ 2 คน อยู่ ณ จุดแข่งขัน ทำหน้าที่จัดการให้ปืดเข้าตีประชันกัน และควบคุมการตกแต่งหน้าปืด เรียกว่า “กรรมการหน้าปืด” อีกชุดหนึ่งประมาณ 4 คน เป็นกรรมการตัดสินอยู่ ณ จุดตัดสิน ซึ่งอยู่ห่างจากจุดประชันออกไปประมาณ 500 – 1,500 เมตร ทางทิศใต้ทางลมของจุดแข่งขัน กรรมการชุดนี้จะมีฆ้องและกลองเป็นสัญญาณตัดสิน ก่อนที่แต่ละคู่จะเริ่มประชันประมาณ 15 นาที ผู้ตีจะ “แต่งหน้าปืด” โดยใช้ผ้าชุบน้ำพอหมาดๆ เช็ดหน้าปืดทั้ง 2 หน้า ดึงเชือกร้อยโยงหนังหุ้มปืดให้ตึงพอดี ใช้ข้าวสุกผสมขี้เถ้ากวนจนเป็นแป้งเปียกพอกตรงกลางหน้าปืดด้านโตเป็นวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว เพื่อทำให้หนังที่หุ้มปืดตึงยิ่งขึ้น เสร็จแล้วขึ้นเวทีหรือเข้าประจำที่ วางปืดบนฐาน ผลัดกันตีนำและตีตามคนละรอบ ปืดที่ตีนำเรียก “ปืดยืน” ปืดที่ตีตามเรียก “ปืดหลัก” (หลักคือตีขัดจังหวะ) ขณะที่กำลังตีแข่งขันอยู่นั้น กรรมการตัดสินจะคอยฟังว่าปืดลูกไหนเสียงดังไกล เสียงใหญ่ เสียงหวาน กลมแน่นเป็นใยยืด ไม่ขาดห้วน ถือว่าเสียงดีกว่าก็ให้ชนะ ถ้าปืดยืนชนะจะตีฆ้องเป็นสัญญาณ ถ้าปืดหลักชนะจะตีกลอง ปืดใดชนะทั้ง 2 รอบถือเป็นชระ ถ้าผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะต้องแข่งเป็นรอบที่ 3 แต่ละคู่จะแข่งกันเช่นนี้ และจัดให้ปืดที่แพ้พบกับแพ้ ปืดที่ชนะพบกับชนะ ประชันกันจนเหลือ 2 ลูกในแต่ละประเภท แล้วจึงประชันชิงชนะเลิศ สำหรับรางวัลมีทั้งถ้วยรางวัล ขันน้ำ พานรองและเงินสด การประชันปืดนิยมจัดตอนกลางคืน เพราะเงียบ ฟังเสียงปืดได้ชัดเจน สมัยก่อนบางงานมีผู้ส่งปืดเข้าประชันจำนวนเป็นร้อยๆ ลูก กว่าจะประชันแล้วเสร็จบางครั้งก็สว่าง อนึ่ง ประมาณ 40 ปีล่วงแล้ว เมื่อมีงานลากพระจะได้ยินเสียงปืดประโคมอึกทึกกันแทบทุกวัด การชันปืดก็จัดกันใหญ่โต แต่หลักจากนั้นปืดก็ค่อยร่อยหรอลงเรื่อยๆ ถึงทุกวันนี้ แม้ปืดจะยังใช้ประโคมกันอยู่ และบางปีได้รับการฟื้นฟูโดยจัดให้มีการประชันกันขึ้น แต่ก็ได้รับความสนใจค่อนข้างน้อย เนื่องจากปืดมีเล่นเฉพาะบางอำเภอในจังหวัดนครศรีธรรมราชเท่านั้น จึงน่าจะได้รับการฟืนฟู ส่งเสริมให้มีการประโคมปืดและชันปืดกันอย่างจริงจังในเทศกาลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศกาลลากพระ เพื่อทำให้เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของจังหวัดในภาคใต้. เอกสารอ้างอิง ชวน เพชรแก้ว. 2524. ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์. เฉลียว เรืองเดช. 2529. “ปืด” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่ม 5. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อมรินทร์ การพิมพ์. http://kanchanapisek.or.th/kp8/thai/link2_2south.htm สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. สถาบันทักษิณคดีศึกษา. 2528. ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์. อุดม หนูทอง. 2531. ดนตรีและการละเล่นพื้นบ้านภาคใต้. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. สงขลา : คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. |
| เอกสารเพิ่มเติม |
ดาวน์โหลด |
เรามีการใช้คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหรือเพื่อการทำงานของเว็บไซต์และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายแนวปฎิบัติการใช้คุกกี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ที่ Cookies Policy