ชื่อการละเล่น | กาหลอ |
---|---|
รายละเอียดการละเล่น | กาหลอ เป็นดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ที่มีมาแต่โบราณ นิยมใช้บรรเลงในงานศพและเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องวิญญาณและสิ่งเร้นลับมากมาย การประโคมกาหลอเป็นประเพณีนิยมอย่างหนึ่งในหลายๆ อย่างที่มีความสำคัญยิ่งของชาวภาคใต้ ยึดถือมาแต่โบราณกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ว่าเป็นการประโคมที่ขลังและ ศักดิ์สิทธิ์กว่าการประโคมหรือการละเล่นชนิดอื่นโดยเฉพาะเสียงปี่ นอกจากจะมีความไพเราะแล้วยังเป็นที่หวาดหวั่นสะพรึงกลัวของชาวบ้านโดยทั่วไปอีกด้วย การประโคมกาหลอมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวภาคใต้มานาน โดยเฉพาะชาวเมืองนครศรีธรรมราช ตรัง และพัทลุงรู้จักหนังตะลุงและโนรา แม้ว่า การประโคมชนิดนี้จะจำกัดอยู่เพียงงานศพ งานบวชนาค และงานขึ้นเบญจารดน้ำคนเฒ่าคนแก่เท่านั้น ประวัติความเป็นมา การประโคมกาหลอจะมีขึ้นเมื่อใดไม่มีใครทราบ แต่การประโคมชนิดนี้คงจะเป็นวัฒนธรรมของอินเดียที่แพร่กระจายเข้ามายังแหลมมลายูแต่ครั้งโบราณกาล คำว่ากาหลอน่าจะมากจากคำว่า “กาหลอ” ซึ่งหมายถึง แตรงอน, อึกทึก, วุ่นวาย ก็อาจจะเป็นได้ แต่บางท่านก็กล่าวว่า กาหลอเป็นคำประสมระหว่างคำ “กา” กับ “หลอ” “กา” หมายถึง อีกา ส่วนคำว่า “หลอ” ในภาษาถิ่นใต้หมายถึง ลื่นหลุดจากที่เกาะ “กาหลอ” ก็คือ กาลื่นหลุดจากที่เกาะ ซึ่งเป็นการกล่าวเปรียบเทียบให้เห็นว่าดนตรีกาหลอมีความไพเราะวังเวงใจเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง กาหลอมีขึ้นเมื่อใดไม่มีใครทราบ แต่จากตำนานที่เล่าสืบต่อมากันมายังสับสนอยู่มากนั้นพอจะสรุปได้ว่า กาหลอน่าจะกำเนิดขึ้นในสมัยพุทธกาล (ซึ่งยังไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดแน่ชัด) ผู้ดำริให้มีขึ้นคือพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เพื่อใช้เป็นเครื่องประโคมแห่นำเศียรของมหาพรหม การที่ใช้กาหลอประโคมแห่นำเศียรมหาพรหมมีตำนานประกอบเล่าสืบต่อกันมาเป็นที่รู้กันในหมู่ผู้เล่นกาหลอดังนี้ มีพี่น้องคู่หนึ่งคือมหาพราหมณ์และมหาพรหม วันหนึ่งมหาพรหมผู้น้องได้ถามปัญหาแก่มหาพราหมณ์ผู้พี่เรื่อง “มนุษย์ 3 ราศี” เมื่อมหาพราหมณ์ตอบไม่ได้ก็ได้ให้เวลา 7 วัน เพื่อหาคำตอบ ถ้าตอบไม่ได้ก็จะกระทำพิธีตัดเศียรของมหาพราหมณ์ แต่ถ้าตอบได้ตัวเองก็ยินยอมให้ตัดเศียรเช่นเดียวกัน มหาพราหมณ์คิดตอบปัญหาอยู่จนกระทั่งเวลาล่วงไป 5 วัน ก็ไม่สามามารถตอบได้ จึงหนีเข้าป่า ขณะที่พักนอนอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ก็ได้ยินเสียงคุยระหว่างแม่นกอินทรีกับลูกนกเกี่ยวกับเรื่องที่มหาพราหมณ์จะตัดเศียรตน ถ้าหากตอบปัญหาไม่ได้ ลูกนกอินทรีได้ถามถึงปัญหา ดังกล่าว แม่นกก็อธิบายหัวข้อปัญหาและคำถามให้ลูกนกฟัง ทำให้มหาพราหมณ์ทราบว่า “มนุษย์ 3 ราศี” นั้นหมายถึงในวันหนึ่งๆ มนุษย์จะมีราศีอยู่ที่หน้า หน้าอก และเท้า จึงต้องใช้น้ำล้างหน้าในตอนเช้า ลูบอกในตอนกลางวัน และล้างเท้าในตอนเย็น มหาพราหมณ์จึงเดินทางกลับไปตอบปัญหาของมหาพรหมได้ถูกต้อง และไม่ยอมตัดเศียรของมหาพรหมผู้น้อง แต่มหาพรหมก็ไม่ยอมได้อ้อนวอนให้มหาพราหมณ์ตัดเศียรของตนให้ได้ หลังจากตัดเศียรมหาพรหมแล้ว ธิดาของมหาพรมได้นำเศียรของบิดาเข้าไปเก็บรักษาไว้ในถ้ำ ขณะที่ประโคมคุมเศียรและแห่แหนเพื่อนำไปเก็บรักษา พระพุทธเจ้าได้ให้มีดนตรีบรรเลง 3 อย่างคือ กาหลอ หนังควน และละคร (โนรา) การแห่แหนครั้งนี้ให้ประโคมกาหลอเป็นกระบวนนำ แต่เนื่องจากไม่มีเพลงที่จะบรรเลงประกอบ บรรดาพุทธสาวก ทวยเทพ และพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ จึงช่วยกันประดิษฐ์เพลงต่างๆ ขึ้นมาเป็นจำนวน 12 เพลง เพลง 12 เพลงนี้ถือว่าเป็นแม่บทของการเล่นกาหลอ การประโคมกาหลอครั้งนี้ พระยายมเป็นผู้บรรเลงกลองสวรรค์ พระภูมิเป็นผู้บรรเลงฆ้องสวรรค์ ส่วนพระอินทร์เป็นผู้บรรเลงปี่สวรรค์ การประโคมคุมเศียรและแห่แปนครั้งนี้ถือว่าเป็นการประโคมครั้งแรกต่อมาพระพุทธองค์เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม จึงอนุญาตให้พุทธศาสนิกชนนำไปประโคมแห่ศพแห่นาคในพิธีทางศาสนา และกำหนดให้ยึดถือเป็นประเพณีสืบมา โอกาสที่แสดง งานที่กาหลอไปประโคมแต่เดิมนั้นมีเฉพาะงานศพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต่อมาใช้ประโคมในงานบวชนาค (โดยเฉพาะนาคที่บวชแล้วไม่สึก) และงานขึ้นเบญจารดน้ำคนเฒ่าคนแก่ด้วย กลอนตำรากาหลอซึ่งยืนยันว่าใช้กาหลอประโคมในงานศพและงานบวชนาคมีดังนี้ จะกล่าวตำรากาหลอ กล่าวไว้พึงพอสืบต่อกันมา ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าเทศนา ว่าพวกเหล่านี้นี้อยู่เป็นอัตรา ชั้นดาวดึงสาประโคมดนตรี อยู่เหลี่ยมพระสุเมรุพระเจ้ากะเกณฑ์ลงมา เกิดในชมพูพระพุทธเจ้าตรัสรู้ จึงตั้งเอาไว้ในพระศาสนา ประโคมนาคซากศพเป็นธรรมเนียมมา มีค่าราดมาตรามีมาแต่ก่อน นอกจากในตำรากาหลอ ตอนที่ว่าด้วยค่าราดได้กล่าวถึงค่าราดในการคุมนาคหรือแห่นาคและค่าราดการขึ้นเบญจาไว้ด้วย จึงเป็นการยืนยันว่าในสมัยหนึ่งใช้กาหลอประโคมในงานขึ้นเบญจารดน้ำคนเฒ่าคนแก่ด้วย “........................................... ใครทักทายยาฟัง หมันเข้าเรียกมาคุมนาค เรียกสามบาทกับสองสลึง” “สิบเอ็ดบาทในคลาดไคล บินจาไส..................................” ในปัจจุบันนี้การประโคมกาหลอคงมีเฉพาะในงานศพเท่านั้น ความนิยมที่ใช้กาหลอประโคมในงานบวชนาคและงานขึ้นเบญจารดน้ำคนเฒ่าคนแก่เพิ่งหมดไป เครื่องดนตรี เครื่องดนตรีของกาหลอคณะหนึ่งมีเพียง 3 อย่าง รวมกันแล้วมีทั้งหมด 6 ชิ้นคือ ปี่ฮ้อหรือปี่ห้อ 1 เล่า กลองทน (กลองโทน) 2 ใบ ไม้ตีกลองทน 1 อัน ฆ้อง 2 ใบ 1. ปี่ฮ้อ ในตำนานกาหลอเรียกปี่ชนิดนี้ว่าปี่สวรรค์ ผู้ประดิษฐ์คือพระอินทร์ประดิษฐ์ขึ้นจากไม้อ้อยช้าง ได้ประดิษฐ์ขึ้นในคราวแห่เศียรมหาพรหม และพระอินทร์เป็นผู้บรรเลงเป็นครั้งแรก ปี่ฮ้อมีขนาดสั้นกว่าปี่ไฉนและปี่ชวา มีส่วนประกอบ 4 ส่วนคือ 1.1 ฮ้อปี่ คือส่วนที่เป็นปากปี่ มีลักษณะคล้ายลำโพงทำด้วยไม้อ้อยช้าง ส่วนนี้จะมีด้ายสี่ขาว พันรอบหลายๆ ชั้น เรียกว่า “ด้ายราด” เมื่อไปนำศพครั้งหนึ่งจะต้องนำมาพันหุ้มเสียครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามากพอสมควรก็ปลดออกเสียทีหนึ่ง แล้วค่อยพันใหม่อีกเมื่อนำศพใหม่ 1.2 คันปี่ คือส่วนที่ถัดจากฮ้อปี่ ส่วนนี้ค่อยเรียวเล็กลงไปยังบังลม ทำด้วยไม้อ้อยช้างหรือไม้หลุมพอ หรือไม้ประดู่ก็ได้ ที่คันปี่จะมีปลอกเงินคาดเป็นระยะๆ และมีรูสำหรับปิดเปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง 8 รู อยู่ด้านบน 7 รู และด้านล่างอีก 1 รู รูกลางด้านบนชื่อว่า “รูทองศรี” 1.3 บังลม คือส่วนที่ถัดจากคันปี่ บังลมทำด้วยไม้หรือหอยมุกก็ได้ มีลักษณะกลมและโค้ง เพื่อให้กระชับต่อการจับถือขณะเป่าและเข้ากับรูปของปากที่โป่งออกมา 1.4 ลิ้นปี่ คือส่วนที่ถัดจากบังลมเป็นส่วนเล็กที่สุด ประกอบด้วยไม้ซึ่งเจาะรูตลอด มีเดือยที่ ใช้เสียบกับส่วนของคันปี่ที่ยื่นออกมาจากบังลม และใบตาลซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้เกิดเสียงก็จะเสียบติดอยู่กับไม้เล็กๆ ชิ้นนี้อีกทีหนึ่ง เมื่อจะเปลี่ยนลิ้นใบตาลจะต้องดึงไม้ส่วนนี้ออกมาจากคันปี่ และจะต้องมีเชือกผูกไม้ชิ้นนี้ติดไว้กับคันปี่ เพื่อป้องกันการหลุดหายไว้ด้วย นอกจากส่วนประกอบของปี่ทั้งสี่ส่วนแล้ว ยังมีสายสร้อยลูกปัดสีต่างๆ ผูกติดที่บังลม คงจะต้องการให้สวยงามนั่นเอง แต่เดิมจะใช้ลูกปัดโบราณทั้งสิ้น ปี่ฮ้อมีหลายเสียง เสียงเล็กแหลมเรียกว่า “เสียงยิ่ว” เสียงกลางเรียก “เสียงด้วง” หรือ “เสียงจี้” ส่วนเสียงใหญ่ทุ้มเรียก “เสียงใหญ่” 2. กลองทนหรือกลองโทน ในตำนานกาหลอเรียกว่ากลองสวรรค์ ผู้ประดิษฐ์คือพระรัตนตรัย ประดิษฐ์ขึ้นคราวแห่เศียรมหาพรหม พระยายมเป็นผู้ประโคมเป็นครั้งแรก กลองทนเป็นกลอง 2 หน้า หน้ากลองด้านโตมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8-9 นิ้ว หน้า กลองด้านเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7-8 นิ้ว ตัวกลองมักทำด้วยไม้ที่มีน้ำหนักเบาหน้าโตของกลองหุ้มด้วยหนังวัว ส่วนหน้าเล็กหุ้มด้วยหนังค่าง มีเชือกหวายร้อยโยงเพื่อให้หน้ากลองตึงอย่างหยาบๆ กลองทนใบโตซึ่งมักจะมีเสียงทุ้ม เรียกว่า “แม่ทน” ส่วนใบเล็กซึ่งเล็กกว่าใบโตเพียงเล็กน้อยเรียกว่า “ลูกทน” 3. ไม้ตีกลองทน แต่เดิมนั้นตีกลองทนด้วยมือเปล่า เพิ่มมีไม้ตีในระยะหลังนี้เอง เชื่อกันว่าพระธรรมเป็นผู้ทำไม้ตีด้วยไม้กรูดผีให้เป็นครั้งแรก แต่มาในระยะหลังไม้ตีส่วนใหญ่ทำจากเขาควายเพราะสวยงามกว่า และมักทำเป็นรูปตัววี V โดยใช้ส่วนโค้งของตัววีเป็นส่วนตี 4. ฆ้อง ในตำนานกาหลอเรียกว่าฆ้องสวรรค์ พระพุทธกัสสปเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นใช้คราวแห่เศียร มหาพรหม พระภูมิเป็นผู้บรรเลงในคราวนั้นเป็นครั้งแรก แต่เดิมกาหลอใช้ฆ้องบรรเลง 2 ใบ ใบหนึ่งเป็นของคณะกาหลอ อีกใบหนึ่งเจ้าของบ้านที่ให้กาหลอไปบรรเลงเป็นผู้จัดหา แต่เดิมฆ้องของกาหลอแต่ละใบมีขนาดโตมาก เมื่อไปบรรเลงที่ใดจะต้องใช้คนหาม ปัจจุบันนี้ใช้เพียงใบเดียว และเป็นฆ้องขนาดเล็ก วิธีบรรเลงและขนบนิยมในการแสดง ก่อนที่จะกล่าวถึงวิธีบรรเลงและขนบนิยมในการแสดง จะได้กล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญต่อการบรรเลง และขนบนิยมเสียก่อน ซึ่งได้แก่ครูกาหลอ และเพลงกาหลอนั่นเอง ครูกาหลอ ครูกาหลอซึ่งผู้เล่นนับถือมาแต่โบราณมีอยู่หลายท่าน ดังที่ปรากฏในบทถวายข้าวครูว่า “เดชะครูหมออาจารย์ ตาด้านตาคงตาหมวดชู เสภากาหลอ รู้จักชักชวนกันมากินข้าว ส่วนครูกาหลออื่นๆ ซึ่งนับถือกันในชั้นหลัง และกาหลอแต่ละคณะจะนับถือแตกต่างกัน เช่น พ่อทองศรีอ่อน พ่อเฒ่าศรีอ่อน พ่อปู่เพชรแก้ว ตารอด ตาชุม ตาพรานอินทร์ ตาเรือง ตาพุ่ม เฒ่าเดช เฒ่าช้อน เฒ่าสงค์ ฯลฯ (8) เพลงกาหลอ ตามตำนานกำเนิดกาหลอ แต่เดิมมีเพียง 12 เพลงเท่านั้น เพลงทั้ง 12 เพลง ถือเป็นเพลงแม่บทซึ่งมีความสำคัญมาก ผู้หัดเป่าปี่การหลอจะต้องหัดเป่าเพลงทั้ง 12 เพลงนี้ให้ได้เสียก่อน จึงจะได้รับการยกครูจากครูกาหลอ และออกโรงตั้งคณะกาหลอได้ เพลงแม่บททั้ง 12 เพลง คือ เพลงไหว้พระ ผู้ประดิษฐ์คือพระมาตุลี เพลงลาพระ ผู้ประดิษฐ์คือพระอินทร์ เพลงนกกรง ผู้ประดิษฐ์คือพระนารายณ์ เพลงทองศรี ผู้ประดิษฐ์คือพระกาฬ เพลงยั่วยวน ผู้ประดิษฐ์คือพระพรหม เพลงสุริยน ผู้ประดิษฐ์คือพระโมคคัลลาน เพลงส้มสาม ผู้ประดิษฐ์คือพระพุทธกัสสป เพลงทอมท่อม ผู้ประดิษฐ์คือพระชัยเสน เพลงเหยี่ยวเล่นลม ผู้ประดิษฐ์คือพระพาย เพลงพลายแก้วพลายทอง ผู้ประดิษฐ์คือนางสุชาดา, นางขี้หนอน (กินนร) เพลงมอญโลมลูก ผู้ประดิษฐ์คือพระสังฆะนี เพลงแสงแก้วแสงทอง ผู้ประดิษฐ์คือพระศรีอาริยเมตไตรย์ เพลงกาหลอทุกเพลงมีเนื้อเพลง แต่ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้เป่าปี่คือผู้ที่จดจำสืบต่อมา และใช้ปี่บรรเลงอธิบายให้เข้าใจภาษาและความหมาย บทเพลงบางบทเป็นคาถาแต่ก็สามารถแสดงออกด้วยเสียงปี่ได้อย่างไพเราะ เพลงกาหลอไม่นิยมนำมาร้องเล่น เพราะถือว่าเป็นอัปมงคลแก่ชีวิต เนื้อเพลงกาหลอทั้ง 12 เพลงดังกล่าวมีดังนี้ เพลงไหว้พระ เนื้อเพลงบทนี้เป็นคาถา ถอดเป็นคำพากย์ไม่ได้ เพลงลาพระ เนื้อเพลงบทนี้เป็นคาถา ถอดเป็นคำพากย์ไม่ได้ เพลงนกกรง นางนกขี้กรงเห้อ นางนกขี้กรงเหอ นกกรงตี้แท เทียบได้ผัวแก่ แปลกที่เสียแล้ว นางนกขี้กรงเหอ สาวสาวได้ผัวแก่ แปลกที่เสียแล้ว นางนกขี้กรงเหอ เพลงทองศรี ทองศรีพี่เห้อ ทองศรีพี่เหอ ทองศรีตี้แท ทองสุขปลุกเจ้าทองศรี ยกขึ้นสักที ทองศรีพี่เหอ ชั่งมาหลับได้ สาวพี่ชั่งมาหลับดี ยกขึ้นสักที ทองศรีตี้แท เพลงยั่วยวน เนื้อเพลงบทนี้เป็นคาถา ถอดเป็นคำพากย์ไม่ได้ เพลงสุริยน เนื้อเพลงนี้เป็นคาถา ถอดเป็นคำพากย์ไม่ได้ เพลงสัมสาม เนื้อเพลงบทนี้เป็นคาถา ถอดเป็นคำพากย์ไม่ได้ เพลงทอมท่อม ทอมท่อมเหอ ทอมท่อมไปไหน เจ้าสุดใจเห้อ ทอมท่อมไปนา สาวน้อยแม่จะพายห่อผ้า จะเดียดห่อผ้า ตามหลังเจ้าทอมท่อมเหอ เพลงเหยี่ยวเล่นลม เนื้อเพลงบทนี้เป็นคาถาถอดเป็นคำพากย์ไม่ได้ เพลงพลายแก้วพลายทอง พลายแก้วพลายทองของแม่เหอ เจ้าสุดใจเหอ เจ้าสุดใจแก้วพลายทอง พลายแก้วตกน้ำ ใครจะได้ตามหา พลายทองตกตม ใครจะได้ตามงม แม่ไปเมืองไม่รู้มา แม่ไม่ได้รู้มา สั่งไหรกะสั่งเสียต้า แม่ไปป่าชา แม่ไม่ได้อยู่สั่ง แผ่นดินหลบหน้า แผ่นฟ้าหลบหลัง เจ้าสุดใจเห้อ แม่ไม่ได้มาวัง เจ้าสุดใจพลายทองเหอ เพลงมอญโลมลูก สาวน้อยสาวน้อยแม่เหอ ตี้แทแต้ที สาวน้อยสาวน้อยแม่เหอ พลายแก้วพลายทองแม่เหอ เพลงแสงแก้วแสงทอง แสงแก้วแสงทองหวันเหอ ฉายฉันขึ้นมาแต่เช้า ชักม่านกั้นเข้า กั้นเจ้าแสงทอง แสงทองสวรรค์เห้อ แสงทองสวรรค์เหอ นอกจากเพลงแม่บททั้ง 12 เพลงแล้ว คณะกาหลอยังมีเพลงอื่นๆ ใช้บรรเลงอีกหลายเพลง กาหลอบางคณะมีเพลงถึง 32 เพลงก็มี เพลงที่เกินจาก 12 เพลงถือกันว่าเป็นเพลงที่มีขึ้นในสมัยหลัง เพลงอื่นๆ ที่ใช้บรรเลงเช่น เพลงล่อบัตร เพลงบองเพชร เพลงไม้พัน เพลงนกเปล้า เพลงพระพาย เพลงพี่ทิด เพลงหัดบดฝ้าย เพลงทั้งซาก เพลงขอไฟยายแก่ เพลงร้อยทองซัดผ้า เพลงนกจอกเต้น เป็นต้น สำหรับวิธีบรรเลงและขนบนิยมในการแสดงนั้น จะแยกกล่าวเป็นข้อๆ ดังนี้ 1. การรับกาหลอไปประโคม 2. การปลูกสร้างโรงกาหลอ 3. เครื่องประกอบพิธี 4. ผู้เล่นและขนบนิยมก่อนการประโคม 5. การประโคมกาหลอคุมศพและนำศพ 1. การรับกาหลอไปประโคม ในปัจจุบันกาหลอจะไปประโคมเฉพาะในงานศพเท่านั้น การประโคมในงานศพจะมี 2 ลักษณะคือ 1.1 การประโคมนำศพ กาหลอจะประโคมเฉพาะตอแห่นำศพไปเผาที่วัดหรือป่าช้า และ ประโคมขณะที่เผาศพจนเสร็จพิธีเผาเท่านั้น 1.2 การประโคมคุมศพ หมายถึง การประโคมคุมศพที่บ้านของผู้ตายประโคมนำศพและ ประโคมขณะที่เผาศพจนเสร็จพิธีเผา การรับกาหลอไปบรรเลงนั้น เจ้าภาพจะต้องเตรียมหมาก 1 คำหรือ 3 คำไปยังบ้านของผู้เป่าปี่กาหลอ ถ้ากาหลอรับจะไปประโคมก็จะรับหมากจากผู้ไปบอก และนำหมากขึ้นไปตั้งบนหิ้งครูหมอกาหลอ เป็นการบูชาครูและบอกกล่าวให้ทราบ หลังจากนั้นก็จะต้องนัดวันที่ไปประโคมที่แน่นอน และเจ้าภาพจะต้องเตรียมเงินค่าเบิกปากปี่ 3 บาท ค่าขึ้นครู 9 บาท และค่าราดขวัญข้าวตามแต่จะตกลงกัน เพื่อมอบให้แก่คณะกาหลอในวันที่เดินทางไปถึงบ้านที่กาหลอไปประโคม 2. การปลูกสร้างโรงกาหลอ เมื่อว่าจ้างกาหลอมาประโคมแล้ว เจ้าภาพต้องสร้างโรงพิธีให้กาหลอเข้าพักและประโคม โรงกาหลอเรียกว่า “โรงฆ้อง” โรงฆ้องที่สร้างจะต้องให้ส่วนยาวของโรงพุ่งจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกเสมอ จะปลูกขวางตะวันไม่ได้ขนาดของโรงกว้าง 5 ศอก ยาว 7 ศอก หลังคาเป็นรูปหน้าจั่ว หันหน้าโรงไปทางทิศตะวันตกเช่นเดียวกับศีรษะของศพ จะต้องไม่สร้างรอดใต้ขื่อ หลังคามุงด้วยจากหรือแชง ฝาโรงใช้จากหรือใบมะพร้าวกั้นก็ได้ พื้นโรงสูงประมาณ 1 ฟุต 3. เครื่องประกอบพิธี เครื่องประกอบพิธีซึ่งกาหลอจะต้องใช้และจะขาดไม่ได้มีดังนี้ 3.1 เสื่อปูโรงพิธี ใช้ปูเพื่อให้ผู้ประโคมกาหลอนั่ง และส่วนหนึ่งจะใช้หมอนว่างทับ และมีผ้าขาวปูทับหมอน เพื่อได้เป็น “ที่ครู” เมื่อคณะกาหลอทำพิธีเข้าโรงแล้วจะต้องวางปี่ฮ้อพิงหมอนตรงที่ครู โดยให้หางปี่ตั้งขึ้น 3.2 ที่ 12 หมายถึงถาดใส่อาหาร 12 อย่าง บางคนเรียกว่า “ข้าวสิบสอง” เพราะในถาด อาหารนั้นจะมีถ้วยเล็กๆ สำหรับใส่อาหาร 12 ใบ อาหารมีทั้งคาวและหวานที่ 12 จะต้องจัด 2 ครั้ง คือตอนเข้าโรงและลาโรง 3.3 ไก่ต้ม 1 ตัว และมะพร้าวอ่อน 1 ลูก 3.4 แป้งจันทน์ น้ำมันหอม 3.5 พานใส่ดอกไม้ ธูป เทียน 3 เล่ม หมาก 9 คำ ด้ายขาว 1 ริ้ว และเงินเบิกปากปี่ 3 บาท 3.6 เหล้าขาว 1 ขวด 3.7 ผ้าขาวขึงเพดาน เพื่อขึงเพดานตรงกับที่ครู ในผ้าขาวขึงเพดานใส่หมาก 9 คำพร้อมกับ ดอกไม้ธูปเทียน 4. ผู้เล่นและขนบนิยมก่อนการประโคม ผู้เล่น ผู้เล่นกาหลอซึ่งจะเข้าประโคมในโรงพิธีนั้นมี 4 คน เป็นคนเป่าปี่ 1 คน ผู้ตีกลองทน 2 คน และผู้ตีฆ้องอีก 1 คน เมื่อถึงเวลาที่จะไปประโคมกาหลอ คณะกาหลอจะหยิบเครื่องดนตรีลงจากเรือนไปทันที ใครจะเจ็บไข้หรือเกิดอะไรขึ้น จะหลับไปจับต้องดูแลไม่ได้ ก่อนออกจากเขตบ้านจะต้องทำพิธี “กันเรือน” และ “กันตัว” โดยเดินเวียนขวารอบบ้าน 3 รอบ พร้อมกับบริกรรมคาถาป้องกันเสนียดจัญไรไปด้วย และจะต้องตรวจดูว่ามีกิ่งไม้ใบไม้พาดหลังคาบ้านอยู่หรือไม่ ถ้ามีจะต้องดึงหรือฟันออกให้หมด ต่อจากนั้นกาหลอจะออกเดินทางไปยังบ้านเจ้าภาพโดยไม่แวะเวียนที่ใด พอถึงบ้านเจ้าภาพก็ต้องตรวจดูโรงที่ปลูกสร้างว่าเรียบร้อยหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องกาหลอจะไม่ยอมเข้าโรง จนกว่าจะแก้ไขให้ถูกต้อง และเจ้าภาพจะต้องเตรียมเครื่องบูชาครูให้แก่คณะกาหลอ เมื่อถึงเวลา “นกชุมรัง” คือเวลาที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และนกกำลังบินกลับรัง คณะกาหลอทำพิธีเข้าโรง โดยบริกรรมคาถา “กันโรง” และ “กันตัว” มีการประพรมน้ำมนต์ที่บ้านเจ้าภาพโรงพิธีและคณะกาหลอทุกคน เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจ และเสนียดจัญไรทั้งปวง ต่อจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอ (ผู้เป่าปี่) ก็หยิบหมาก 1 คำ เทียน 1 เล่มและให้นำปี่ฮ้อ กลองทน ฆ้องมาตั้งรวมกันกลางดินหน้าโรงพิธีและนั่งยองๆ ทำพิธีรำลึกถึงบริถิวกรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ นางธรณี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเพื่อขอที่ตั้งโรงพิธีและอย่าให้มีอันตรายใดๆ บังเกิดแก่เจ้าของบ้าน เมื่อทำพิธีขอที่ตั้งโรงเสร็จแล้ว หัวหน้าคณะกาหลอจะลุกขึ้นยืน ยื่นมือเข้าไปทาบที่ประตูโรงพร้อมกับบริกรรมคาถาป้องกันและปิดโรงเพื่อป้องกันเสนียดจัญไรอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอก็จะกลิ้งฆ้องเข้าโรงพิธี แล้วก็ออกไปกลิ้งทนและถือปี่เข้าโรงฆ้องโดยมีผู้ตีทน และผู้ตีฆ้องเดินตามเข้าไปด้วย หัวหน้าวงกาหลอจะตั้งปี่ไว้บน “ที่ครู” เมื่อคณะกาหลอเข้าโรงแล้ว หัวหน้าวงกาหลอจะเรียกเอาเครื่องประกอบพิธีทุกอย่างที่ให้เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ และเริ่มทำพิธีไหว้ครูโดยตั้งนโม 3 จบ และทำพิธีชุมนุมเทวดา อัญเชิญครูกาหลอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่อจากนั้นจะสรรเสริญคุณบิดามารดา ครูอาจารย์ พระรัตนตรัย และถวายของเซ่นครูหมอกาหลอ ขั้นต่อไปหัวหน้าวงกาหลอจะเริ่มทำพิธี “เบิกปากปี่” โดยนำปี่ฮ้อมาหงายด้านปากปี่ขึ้นใช้เหล้าเทลงในปากปี่ ใช้เทียนไข 1 เล่มจุดไฟ หมาก 1 คำ เงิน 3 บาท ตั้งประกอบพิธีพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เมื่อบริกรรมคาถาจบลงหัวหน้าคณะวงกาหลอจะตั้งปี่บน “ที่ครู” ให้ปากปี่หันเข้ามาหาตัว แล้วหยิบแม่ทนซึ่งตั้งอยู่ทางซ้ายมือมาเขียนยันต์ที่หน้าทนด้านโต พร้อมกับบริกรรมคาถาประกอบไปด้วย ขณะบริกรรมคาถาใช้มือลูบหน้ากลองทน ใช้ไม้ตีกลองที่เป็นแม่ทน 3 ครั้ง เรียกว่า “ตีกลองหวัน” หรือตีกลองสวรรค์นั่นเอง พร้อมๆ กันนั้นผู้ประโคมดนตรีคนอื่นๆ ก็ลั่นฆ้องและตีทนอีกใบหนึ่งคนละ 3 ครั้งด้วย การลั่นฆ้องตีทนในตอนนี้ก็เพื่อให้เทวดารับรู้ว่าจะเริ่มพิธี “คุมศพ” แล้วต่อจากนั้นก็เป็นการประโคมดนตรีกาหลอเพื่อคุมศพ เมื่อคณะกาหลอเข้าไปอยู่ในโรงพิธีแล้ว จะออกไปไหนมาไหนไม่ได้ จนถึงเวลาเลยเที่ยง วันของวันรุ่งขึ้นจะออกมาได้ อาหารการกินจะต้องไปปะปนกับใคร จะรับของจากมือของผู้หญิงไม่ได้อย่างเด็ดขาด และจะชักชวนให้ใครเข้าไปนั่งในโรงพิธีไม่ได้เพราะถือว่าเป็นการสำเสนียดจัญไรเข้าโรงพิธี 5. การประโคมกาหลอคุมศพและนำศพ การประโคมกาหลอเริ่มอย่างจริงจังหลังจากที่ตี “กลองหวัน” แล้วนั่นเอง เพลงแรกที่กาหลอประโคมคือคาถาป้องกันอันตราย ต่อจากนั้นก็ประโคมเพลงไหว้พระเพลงลาพระ เมื่อประโคมเพลงลาพระจบลงแล้ว หัวหน้าคณะกาหลอจะบริกรรมคาถาส่งลมปี่ 3 จบ เพื่อให้ผู้ฟังหลงใหล ต่อจากนั้นกาหลอก็ประโคมเพลงต่อไปอีกโดยเลือกเพลงจากเพลงแม่บท 12 เพลง หรือเพลงอื่นๆ ก็ได้ เพลงที่มาประโคมนั้นจะต้องคำนึงถึงขนบนิยมในการประโคมด้วย เช่น นิยมประโคมเพลงทอมท่อมในตอนดึก เพลงทองศรีในตอนใกล้รุ่งและเพลงแสงแก้วแสงทองขณะที่พระอาทิตย์ฉายแสงขึ้นมา เป็นต้น ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นคณะกาหลอจะยังคงประโคมไปตามปกติ อาจจะพักผ่อนเพื่อกินหมากกินพลูหรือรับประทานอาหารบ้าง และจะประโคมต่อไปจนกระทั่งถึงวันเผาศพ เมื่อถึงวันกำหนดเผาศพ ในตอนเช้าเจ้าภาพจะถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์เมื่อพระฉันอาหารเสร็จกาหลอจะบรรเลงเพลงนกเปล้า นอกจากนี้เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ซึ่งใช้ “เบิกทาง” และจะต้องนิมนต์พระ 1 รูปเพื่อเดินนำศพด้วย ครั้นใกล้จะถึงเวลาบ่ายโรงตรงซึ่งจะทำพิธียกศพ คณะกาหลอจะทำพิธีออกจากโรงหรือลาโรงหัวหน้าคณะกาหลอจะบริกรรมคาถา “กันตัว” และ “กันโรง” และใช้มีดตัดด้ายซึ่งผูกมุมผ้าขาวคาดเพดาน 1-2 มุม จนผ้าขาวห้อยลงมา ต่อมาก็เลิกเสื่อหาทางออกจากโรง จะเดินออกจากโรงตรงกับทิศหลาวเหล็กไม่ได้อย่างเด็ดขาด บางครั้งอาจจะต้องออกทางข้างโรงหรือหลังโรง ก่อนเดินออกหัวหน้าคณะกาหลอจะต้องเป่าปี่ลงโรง และใช้มีดตัดจาก 3 ตับ (ถ้าหลังคาเป็นใบเตยก็ตัดใบเตย) แล้วผลักจากให้หลังคาเป็นช่องโหว่ขณะตัดและผลักจากที่มุงหลังคาตนเองบริกรรมคาถา เพื่อให้มิมิตว่าทลายโรงพิธี ขณะเดินออกจากโรงหัวหน้าคณะกาหลอต้องเดินนำและกลิ้งกลองทนออกมา พร้อมกับริกรรมคาถาไปด้วย เมื่อก้าวออกจากโรงพิธีหัวหน้าวงจะก้าวเท้าเดินเลี่ยงเป็นมุม 45 องศา จะเลี่ยงไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ และผู้ประโคมดนตรีจะต้องเดินตามไปทางเดียวกันหมด เมื่อออกมาจากโรงพิธีแล้ว หัวหน้าคณะกาหลอจะต้องนำปี่มาวางบนพื้นดินตรงหน้าโรงพิธีพร้อมด้วยหมาก 1 คำ และเทียน 1 เล่ม แล้วออกชื่อบริถิวกรุงพาลี พระภูมิเจ้าที่ ว่าจะนำศพไปวัดขออย่าให้มีอันตรายใดๆ และขอเลิกถอนสิ่งต่างๆ ที่ทำพิธีไว้ตอนเข้าโรงทั้งหมด หลังจากนั้นคณะกาหลอจะต้องเข้าไปสำรวจดูการคาดคานหามที่โลงศพว่าถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องกาหลอจะไม่ยอมนำศพไปอย่างเด็ดขาด จนกว่าเจ้าภาพจะได้แก้ไขให้ถูกต้อง การนำศพจะเริ่มด้วยพระภิกษุกรวดน้ำอุทิศให้แก่ผู้ตาย และทำพิธีเบิกทาง หลังจากนั้นกาหลอจะบอกให้ยกศพ คนหามก็จะยกศพขึ้นพร้อมกับกาหลอจะบริกรรมคาถาป้องกันอันตรายทั้งปวง และบริกรรมคาถาบังคับให้ผีไปตามทางไม่แวะเวียนอยู่ที่ใด เมื่อเริ่มออกเดินคณะกาหลอจะประโคมเพลง “เหยี่ยวเล่นลม” เพื่อสวดอ้อนวอนให้พระพายผู้เป็นเทพเจ้าแห่งลมมารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ และประโคมเพลง “ทอมท่อม” เพื่ออ้อนวอนขอให้พระชัยเสนมารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสวรรค์ด้วย พอเข้าเขตป่าช้าคณะ กาหลอจะประโคมเพลง “ยั่วยาน” เพื่อขอถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มาช่วยคุ้มครองและแนะนำหนทางที่จะไปสวรรค์ให้ เมื่อเพลง “ยั่วยาน” จบลง กาหลอจะต้องบริกรรมคาถาทักป่าช้า เสร็จแล้วจะบรรเลงเพลง “สุริยน” เพื่อป้องกันเสนียดจัญไร และภูตผีปีศาจทั้งปวงต่อจากนั้นหัวหน้าวงกาหลอจะก้าวเท้าซ้ายเข้าป่าช้า พร้อมบริกรรมคาถาป้องกันอันตรายให้แก่ทุกคนที่ร่วมขบวนเข้ามาด้วย เมื่อนำศพเข้าไปถึงเชิงตะกอน กาหลอจะนำไม้มาวางเรียงขนานกัน 3 ท่อน เรียกว่า “ทอดเชิงตะกอน” ผู้หามศพจะหามศพเวียนซ้ายรอบเชิงตะกอน 3 รอบ และวางศพบนเชิงตะกอน กาหลอก็จะนั่งลงประโคมศพต่อไป ก่อนจะนั่งจะต้องรูดใบไม้พร้อมกับบริกรรมคาถา และโปรยใบไม้ลงบนพื้นดินแล้วจึงนั่งทับลงไป การประโคมของกาหลอในตอนนี้ใช้เพลง “ทองศรี” เพื่ออ้อนวอนพระกาฬให้มารับดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สวรรค์ และประโคมเพลง “พลายแก้วพลายทอง” เพลง “นกเปล้า” หลังจากที่พระบังสุกุลเสร็จแล้ว ขณะที่เผาศพ คณะกาหลอจะบรรเลงเพลง “สุริยน” เพื่อกระทุ้งเพดานฟ้าที่ครอบเมรุเปิดทางให้วิญญาณขึ้นสู่สวรรค์ เมื่อไฟลุกมากขึ้นก็ประโคมเพลง “พระพาย” เพื่ออ้อนวอนให้พระพายนำดวงวิญญาณไปสู่สวรรค์ และเมื่อไฟลุกท่วมโลงก็ประโคมเพลง “หัดบดฝ้าย” เมื่อศพที่เผากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วคณะกาหลอก็เตรียมตัวกลับบ้าน แต่ก่อนจะกลับต้องประโคมเพลงไหว้พระ เพลงลาพระ และเพลงอื่นๆ อีกตามแต่กาหลอจะเลือกมาประโคม แต่ต้องจบลงด้วยเพลง “สัมสาม” เพื่อขจัดอันตรายทั้งปวง เมื่อเพลง “สัมสาม” จบลง หัวหน้าคณะกาหลอจะนำปี่ไปใส่ในฆ้อง นำน้ำมนต์ หมาก 1 คำ เทียน 1 เล่ม เงิน 3 บาท และข้าวบอก ใส่ลงไปด้วยต่อจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอจะเป็นผู้นำเครื่องเซ่นดังกล่าวเซ่นผีเจ้าป่าช้า ยายกาลี ตากาลา ฝากฝังผีผู้ตายว่าอย่ารบกวน อย่าเฆี่ยนตี และหย่าหน่วงเหนี่ยวเอาไว้ ปล่อยให้เขาไปเถิดเมื่อถึงเวลา เมื่อทำพิธีเซ่นเจ้าป่าช้าเสร็จแล้ว เจ้าภาพและญาติพี่น้องของผู้ตายจะนำเอาน้ำมนต์จากในฆ้องซึ่งตั้งอยู่ประพรมบนศีรษะ เพื่อมิให้ได้ยินเสียงปี่ เสียงฆ้องและกลองทนอีกต่อไป หลังจากนั้นหัวหน้าคณะกาหลอจะบริกรรมคาถาและคว่ำฆ้อง และเดินทางกลับบ้าน พอก้าวขาออกจากป่าช้าจะต้องหักกิ่งไม้มาขวางทาง และบริกรรมคาถาป้องกันมิให้ผีตามออกมาจากป่าช้า การเดินทางกลับบ้านของคณะกาหลอ จะต้องเดินย้อนกลับตามทางเดิมที่แห่ศพมาจนพ้นเขตวัดจึงตัดลัดไปทางอื่นได้ เมื่อกลับถึงบ้านจะต้องบริกรรมคาถา “กันเรือน” และคาถา “กันตัว” เช่นเดียวกันกับที่ออกจากบ้าน หลังจากนั้นภรรยาและลูกจะนำน้ำสะอาดมา 1 ขัน จะไม่พูดจาต่อกันแต่อย่างใด ภรรยาและลูกจะต้องช่วยกันล้างเท้าของกาหลอจนสะอาดเมื่อล้างเท้าเสร็จกาหลอก็จะพูดกับใครต่อใครได้ ต่อจากนั้นก็จูงมือภรรยาและลูกขึ้นบ้าน ตั้งทนและฆ้องไว้ในที่เดิม ส่วนปี่ตั้งไว้บนหิ้ง “ที่ครู” พร้อมกับตั้งหมาก 1 คำไว้ด้วย อัญเชิญครูกาหลอให้กินหมากกินพลู แล้วก็เข้านอน ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการประโคมกาหลอ ในบรรดาการละเล่นและมหรสพต่างๆ ของชาวภาคใต้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้น เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า กาหลอมีความเชื่อในเรื่องต่างๆ หยุมหยิมมากกว่าการละเล่นอื่นใดทั้งสิ้น ความเชื่อที่หยุมหยิมกลายเป็นธรรมเนียมที่กาหลอต้องปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างเคร่งครัด ทำให้เป็นทางหนึ่ง ที่ช่วยให้กาหลอสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ของกาหลอมีดังนี้ 1. ความเชื่อที่เกี่ยวกับปี่ของกาหลอ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้จำแนกได้ดังนี้ 1.1 เชื่อว่ามีครูหมอปี่ ความเชื่อเรื่องนี้ “แรง” มาก ที่บ้านของหัวหน้าวงกาหลอทุกคนจะ ต้องมีหิ้งไว้เหนือหัวนอนสำหรับตั้งปี่พักอาศัย ถ้าไม่ปฏิบัติจะถูกครูหมอ “ทำ” ให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา 1.2 การตั้งปี่บนหิ้ง จะต้องถอดคันปี่แยงลงในฮ้อปี่ซึ่งคว่ำปากอยู่ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ครูหมอปี่จะทำให้ผู้เล่นต้องปวดศีรษะ หรือลูกเมีย ญาติพี่น้องซึ่งพักอยู่ด้วยกันจะต้องมีอันเป็นไป เช่า ป่วย เจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุต่างๆ 1.3 ทุกครั้งที่นำปี่ขึ้นตั้งบนหิ้งหรือหยิบลงไปนำศพจะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือใช้หมาก 3 คำ เทียน 1 เล่ม ขึ้นตั้งทำพิธีบูชาครู 1.4 เชื่อว่าครูหมอปี่จะเป่าปี่อยู่เสมอ ถ้าเมื่อใดที่ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงได้ยินเสียงปี่ (ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเป่า) ก็เป็นที่เชื่อแน่ว่าจะต้องมีคนตายและกาหลอจะต้องไปนำศพในที่ใดที่หนึ่งภายในไม่ช้า 1.5 เมื่อนำปี่ขึ้นตั้งบนหิ้งแล้ว จะนำมาปี่ลงมาเป่าเล่นโดยไม่มีพิธีรีตองหรือเป่าเล่นสนุกๆ ไม่ได้ ถ้าจะนำลงมาเป่าหรือลองเป่า จะต้องเป็นการตระเตรียมตัวเพื่อที่จะใช้เป่าในงานซึ่งกำลังจะไปประโคมเท่านั้น 1.6 เมื่อนำปี่ลงจากหิ้ง ผู้ชายเท่านั้นที่จะได้รับการอนุญาตให้จับต้องปี่ได้ ส่วนผู้หญิงห้ามจับต้องปี่อย่างเด็ดขาด ถ้าจับต้องจะมีอาการเสียดท้อง ปวดศีรษะ ชักหรือป่วยไข้ 1.7 เมื่อครูหมอปี่กระทำแก่ผู้ใด ผู้เป่าปี่จะต้องทำพิธีขอขมาลาโทษ คือจะต้องกล่าวถ้อยคำว่า “พรรคพวกสภากาหลอครูหมอปี่ อย่าถูกต้องทับทอเด็ด ขอให้ฉิบหาย ผิดพลั้งหลังหน้าขอขมาลาโทษ” 1.8 เชื่อกันว่าหากเจ้าบ้านเจ้าเรือนไม่อยู่ ครูหมอปี่จะเฝ้าบ้านได้ คือ ชาวบ้านอื่นๆ จะเห็น เหมือนกับว่ามีคนอยู่ที่บ้าน เช่น เห็นเป็นคนเฒ่าคนแก่ชายหญิงนั่งยนหมากและมีควันไฟที่บ้านเหมือนกับ กำลังหุงข้าว ถ้าใครขึ้นมานั่งพักหรือนอนบนเรือนโดยไม่บอกกล่าว มักจะให้โทษเช่นทำให้ปวดหัว ปวดท้อง หรือดึงเท้า เหยียบอก เป็นต้น 1.9 ผู้เป่าปี่กาหลอจะต้องปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมนิยมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาให้ถูกต้อง คือ - ไม่พูดเท็จ - ไม่ประพฤติผิดลูกเมียของผู้อื่น - ถ้านั่งเรือลอดใต้สะพาน จะต้องใช้มือกุมหัว - ห้ามเข้าใต้ถุนบ้านซึ่งมีเสาเรือนเพียง 4 เสา และใต้ถุนบ้านซึ่งมีคนเกิดใหม่ๆ อย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้คาถาเสื่อมหาย - นั่งร่วมเสื่อกับผู้หญิงไม่ได้ - อาหารที่มีผู้รับประทานแล้ว จะรับประทานไม่ได้ แต่รับประทานอาหารที่พระฉัน แล้วได้ สำหรับอาหารที่บ้าน ลูกเมียจะต้องตักแยกเก็บไว้ก่อนเสมอ - เมื่อกาหลอไปประโคม ณ ที่ใด และคนเป่าปี่จะรับประทานสิ่งหนึ่งสิ่งใดระหว่าง เป่าปี่ จะต้องนำปี่ทับลงบนปากถ้วยให้ครูหมอปี่กินเสียก่อน ถ้าไม่ถือปฏิบัติจะมีโทษรุนแรง - สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นที่รองตั้งปี่ เช่น เสื่อ หมอน ผ้าขาว ผู้หญิงจะจับต้องไม่ได้อย่างเด็ดขาด - ก่อนเป่าปี่จะต้องเซ่นครูหมอปี่ทุกครั้ง 2. ความเชื่อที่เกี่ยวกับกลองทน (กลองโทน) ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับกลองทนไม่มากเหมือนกับปี่ แต่ก็จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน คือ 2.1 นำกลองทนลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนบ้าน หรือปล่อยให้ผู้อื่นข้ามไม่ได้ถ้าไม่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจะมีโทษ หรือความวิบัติต่างๆ เกิดขึ้นแก่ผู้เล่น 2.2 เมื่อรับประทานอาหารจะต้องเซ่นให้กลองกินเช่นเดียวกับครูหมอปี่เสียก่อนทุกครั้ง 2.3 คนทั่วไปจับต้องกลองทนได้ แต่จะนำไปตีเล่นสนุกๆ ไม่ได้ 2.4 ผู้ตีกลองทนจะต้องปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับคนเป่าปี่กาหลอ 3. ความเชื่อที่เกี่ยวกับฆ้อง ความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับฆ้องที่ใช้ประโคมของกาหลอมีข้อปฏิบัติไม่มากมายนัก ส่วนใหญ่แล้วมีความเชื่อเหมือนกลองทน คือ 3.1 นำลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนเรือน หรือปล่อยให้ผู้อื่นข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด 3.2 เมื่อเก็บฆ้องจะต้องแขวนไว้ในระดับเดียวกับกลองทน แต่ต้องอยู่ในระดับต่ำกว่าปี่ 3.3 เมื่อรับประทานอาหารจะต้องเซ่นให้ฆ้องเช่นเดียวกับกลองทนและปี่ 3.4 ผู้ตีฆ้องจะต้องปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับคนเป่าปี่กาหลอ 4. ความเชื่อที่เกี่ยวกับความประพฤติของภรรยาผู้เล่นกาหลอ โดยเฉพาะผู้เป่าปี่กาหลอมีความเชื่อบางประการที่เกี่ยวข้องกับการประพฤติและปฏิบัติตัวของภรรยา ดังนี้ ระหว่างที่กาหลอไปประโคมที่ใดๆ ถ้าหากภรรยาซึ่งอยู่ที่บ้านประพฤตินอกใจสามีจะทำให้เกิดเหตุร้ายบางประการ คือ - ผู้เล่นกาหลอจะประสบอุบัติเหตุ หรือป่วยไข้ - จะเกิดเหตุร้ายแก่ภรรยาผู้ประพฤตินอกใจ - ครูหมอกาหลอจะทำให้ผู้เป่าปี่ตัวสั่น วิ่งอย่างขาดสติ และจะบอกว่าภรรยาอยู่ทางบ้านประพฤตินอกใจ 5. ความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ และเสนียดจัญไรต่างๆ กาหลอมีความเชื่อเรื่องนี้สูงมาก จะเห็นได้ จากการบริกรรมคาถากันเรือน กันตัว กันโรงพิธี และการเป่าปี่เป็นคาถาป้องกันภูตผีปีศาจ และภยันตรายทั้งปวง เพลงต่างๆ ซึ่งเป็นคาถาป้องกัน เช่น เพลงไม้พัน เพลงเหยี่ยวเล่นลม เพลงสุริยน และเพลงสัมสาม เป็นต้น 6. ความเชื่อเรื่องเพลงแม่บท 12 เพลง เชื่อว่าเพลงแม่บททั้ง 12 เพลง เป็นเพลงขลังและศักดิ์สิทธิ์ กว่าเพลงประกอบอื่นๆ ทั้งนี้เพราะเพลงทั้ง 12 เพลงมีส่วนช่วยนำดวงวิญญาณของผู้ตายให้ไปสู่สุคติ 7. ความเชื่อเกี่ยวกับการประโคมดนตรีกาหลอ การประโคมดนตรีกาหลอจะประโคมเล่นเพื่อความ สนุกสนาน ขาดพิธีรีตองไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการเรียกร้องให้มีผู้ตายขึ้นไปบ้านนั่นเอง และจะไม่มีผู้ใดยินยอม ให้กาหลอบรรเลงในบริเวณบ้านอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าจะนำผีและความชั่วร้ายเข้ามาในบ้าน การประโคม ดนตรีกาหลอทุกครั้งจึงต้องประโคมในงานศพเท่านั้น 8. ความเชื่อเกี่ยวกับการฝึกหัดเป่าปี่กาหลอ การฝึกหัดเป่าปี่กาหลอมีความเชื่อว่าผู้ฝึกหัดจะต้อง มาแสดงความประสงค์ด้วยตัวเองว่าจะฝึกหัดเมื่อกาหลอรับเข้าเป็นลูกศิษย์แล้วจะต้องติดตามผู้เล่นกาหลอไปยังที่ต่างๆ ซึ่งกาหลอไปประโคมทุกครั้ง เมื่ออยู่ที่บ้านผู้เป่าปี่จะนำผู้มาฝึกหัดเป่ากันที่ขนำกลางทุ่งนา ไม่ เช่นนั้นความอัปมงคลจะมาสู่บ้าน การฝึกหัดจะต้องฝึกฝนกันจริงๆ และจะต้องยอมอดทนประพฤติปฏิบัติตัวตามธรรมเนียมนิยมของกาหลอทุกประการ บางคนอาจจะฝึกหัดอยู่ถึง 2-3 สุมนา จึงเป่าปี่กาหลอได้ก็มี 9. ความเชื่อเกี่ยวกับการไหว้ครูกาหลอ กาหลอเป็นการประโคมที่นับได้ว่ามีครู “แรง” ไม่แพ้ครูหนังตะลุงหรือครูโนรา ผู้ที่เป็นกาหลอจึงต้องทำพิธีไหว้ครูกาหลอทุกๆ ปี การไหว้ครูจะกระทำกันในวันข้างขึ้นเดือนสิบเอ็ด จะเป็นขึ้นกี่ค่ำก็ได้ แต่ต้องตรงกับวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันครูเท่านั้น การไหว้ครูกาหลออาจจะเชิญหมอไสยศาสตร์ และเชิญครูกาหลอที่ยังมีชีวิตมาร่วมพิธีด้วย จะต้องสร้างโรงพิธี หรืออาจจะทำพิธีบนบ้านก็ได้แล้วแต่จะสะดวก ข้าวของที่จะต้องเตรียมในพิธีไหว้ครูไว้ให้พร้อมมีดังนี้ - เหล้า 1 ขวด - หมรับ (15) 3 หมรับ ใส่ขนมพอง ขนมลา และขนมบ้า - มะพร้าวอ่อน 1 ลูก - ที่ 12 (อาหารหวานคาว 12 สิ่งไม่ซ้ำกัน) 1 ที่ - ผ้าขาวขึงเพดานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้าง ยาว 2 ฟุต - ผ้าขาวปูที่ครู 1 ผืน - หมากใส่ในผ้าขาวขึงเพดาน 9 คำ และใส่พานตั้งที่ครู 9 คำ - เทียน 3 เล่ม ปักที่ครู 1 เล่ม ที่ปากปี่ 1 เล่ม และที่ราด 1 เล่ม - ผ้าคู่หญิงคู่ชาย (ผ้านุ่งผู้ชาย และผ้านุ่งผู้หญิง) อย่างละ 1 ผืน - ไก่ต้ม 1 ตัว การทำพิธีไว้ครูจะเริ่มทำในเวลาตอนเช้า หลังจากจัดเครื่องประกอบพิธีต่างๆ พร้อมเสร็จแล้ว ผู้ประกอบพิธีจะเริ่มพิธีและกระทำพิธีไปตามลำดับดังนี้ - ตั้งนโม 3 จบ - กล่าวบทชุมนุมเทวดา คือ บทสัคเค - กล่าวบทสรรเสริญคุณ คือ บทสัดีน้อย สัดดีใหญ่ - เป่าปี่กาหลอ - กล่าวบทอัญเชิญครูกาหลอ โดยกล่าวชื่อครูทุกคน - ถวายข้าวและเครื่องเซ่นแก่ครู - ครูหมอจะจับลง การจับลงอาจจะจับลงคนเดียว หรือหลายคน แต่เท่าที่เคยเห็นกันมามักจับลงหลายคน - หลังจากจับลงแล้วก็มีการเป่าปี่ ตีทน การเป่าปี่มักจะเลือกเป่าเพลงที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปัดรังควานและเสนียดจัญไรต่างๆ ด้วย - เมื่อเป่าปี่ ตีทน ลั่นฆ้อง จบลง ก็ถือว่าหมดพิธีแต่เพียงเท่านั้น การแสดง – โรงพิธีของกาหลอ กาหลอจะต้องมีโรงแสดงโดยเฉพาะ และต้องสร้างตามแบบที่เชื่อถือกัน หากสร้างผิดแบบกาหลอจะไม่ยอมแสดงการปลูกสร้างโรงกาหลอ ต้องให้ประตูที่เข้าสู่โรงอยู่ทางทิศใต้ มีเสาจำนวนหกเสา มีเสาดั้ง เสาสี่เสานั้นแต่ละข้างให้ใช้ขื่อได้ แต่ส่วนกลางไม่ให้ใช้ขื่อ หลังคามุงด้วยจากหรือแชง ส่วนพื้นจะยกสูงไม่ได้ ใช้ไม้ทำเป็นหมอนทอดบนพื้น แล้วหาไม้กระดานมาปูเรียบเป็นพื้น ส่วนแปทูบ้านเจ้าภาพจะตรงกับแปทูโรงกาหลอไม่ได้ เมื่อคณะกาหลอมาถึงไปถึงจะตรวจโรงพิธี หากเรียบร้อยดีก็จะเข้าไปภายในโรงพิธี หากตรวจแล้วพบข้อผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ก็จะต้องให้เจ้าภาพแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน คณะกาหลอจึงจะเข้าไป การเดินเข้าโรงพิธี จะให้นายปี่ซึ่งถือว่าเป็นนายโรงเดินนำหน้าพาคณะเข้าไป นายปี่จะเดินไปที่ห้องของตัว ส่วนผู้ตีฆ้องและนายโทนจะหยุดอยู่แค่ห้องของตัว จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือล่วงล้ำเข้าไปในห้องนายปี่ไม่ได้ คือ นายปี่อยู่ห้องหนึ่ง ส่วนนายโทนและผู้ที่ตีฆ้องอยู่รวมกันอีกห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปในโรงพิธีแล้ว หากยังไม่ถึงเวลา ( เลยเที่ยงวัน ) จะออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ( บางคณะก็ไม่เคร่งครัดนัก ) แต่มีข้อห้ามว่า นอกจากหมากพลูและบุหรี่แล้ว ห้ามมิให้บริโภคสิ่งใดภายนอกโรงพิธีเป็นเด็ดขาด หากจะบริโภคต้องนำเข้าไปบริโภคภายในโรงพิธี และห้าม ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงในทางชู้สาว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก่อนลงมือแสดง เจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมจัด " ที่สิบสอง " หมายถึงอาหารหวานคาว ได้แก่ ข้าว แกง เหล้า น้ำ ขนม ฯ ล ฯ จัดใส่ถ้วยใบเล็กๆ วางไว้ในภาชนะ ( ถาด ) ให้ครบ 12 อย่าง เหมือนการจัดสำรับกับข้าวของไทยสมัยก่อน และที่ถ้วยทุกใบจะมีเทียนไขเล่มเล็กๆ ปักอยู่อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า " เครื่องราชย์ " มีเงิน 12 บาท หมาก 9 คำ ด้ายริ้ว 3 ริ้ว ข้าวสาร เทียนไข 1 เล่ม ทุกอย่างใส่รวมกันใน " สอบหมาก " ( ลักษณะคล้ายกระสอบ แต่มีขนาดเล็ก เป็นภาชนะ ใส่หมากพลูของคนเฒ่าคนแก่ทางปักษ์ใต้เมื่อสมัยก่อน ) เมื่อนายโรงได้ที่สิบสอง และเครื่องราชย์มาแล้วก็จะทำพิธีบวงสรวงครูบาอาจารย์ รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วลงมือแสดง เริ่มต้นด้วยเพลงไหว้ครู คือเพลงสร้อยทองและเพลงอื่นๆ แม้ว่าการรับช่วงสืบต่อของกาหลอจะเป็นช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากก็ตาม แต่ขนบประเพณีต่างๆ ซึ่งผู้เล่นกาหลอยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมานั้น มิได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก ด้วยเหตุนี้เองชาวบ้านในปัจจุบัน โดยทั่วไป จึงยังถือว่ากาหลอเป็นการประโคมที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์อยู่เช่นเดิม สำหรับความคลี่คลายเปลี่ยนแปลงที่พอจะมีอยู่บ้างนั้นมีดังนี้ 1. การแต่งกายของผู้เล่นกาหลอ เครื่องแต่งกายของกาหลอแต่เดิมนั้นแม้จะเรียบง่าย แต่ก็เคร่งครัดมากโดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้ากาหลอ (ผู้เป่าปี่) จะต้องนุ่งผ้าโจงกระเบนและสวมเสื้อสีขาวเท่านั้น จะแต่งกายในลักษณะอื่นไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ การแต่งกายดังที่ว่านี้ไม่มีปรากฏให้เห็นอยู่อีกแล้ว ส่วนใหญ่ผู้เล่นกาหลอจะแต่งกายอย่างสะดวกสบายเปลี่ยนรูปแบบซึ่งปฏิบัติกันมาแต่เดิมโดยสิ้นเชิง 2. โอกาสในการแสดง แต่เดิมนั้นนอกจากจะประโคมกาหลอเพื่อคุมศพและนำศพแล้ว กาหลอยังใช้ประโคมในงานบวชนาคและงานขึ้นเบญจารดน้ำคนเฒ่าคนแก่อีกด้วยแต่ปัจจุบันนี้การประโคมกาหลอ มีจำกัดอยู่แค่งานศพเท่านั้น 3. โรงพิธีของกาหลอ แต่เดิมนั้นการสร้างโรงพิธีเพื่อให้กาหลอเข้าพักและคุมศพจะพิถีพิถันและเคร่งครัดมากในการเลือกสถานที่หรือภูมิ สำหรับสร้างโรง การกำหนดขนาดของโรงพิธี และการใช้วัสดุปลูกสร้าง แต่ในปัจจุบันนี้สถานที่สร้างก็ดี และวัสดุก็ดีไม่พิถีพิถันและเคร่งครัดดังเช่นแต่ก่อน 4. เพลงที่กาหลอใช้ประโคม แต่เดิมนั้นเพลงของกาหลอที่ใช้บรรเลงมีเพียง 12 เพลงเท่านั้น แต่ต่อมาผู้เล่นกาหลอได้คิดเพลงเพิ่มขึ้น กาหลอบางคณะมีเพลงสำหรับประโคมถึง 32 เพลง และเพลงบางเพลงมีเนื้อหาค่อนไปทางหยาบคายก็มี 5. การฝึกหัดลูกศิษย์ แต่เดิมผู้ฝึกหัดกาหลอจะต้องไปฝึกหัดกันที่ขนำกลางทุ่งนา หรือไม่ก็ต้องไปฝึกหัดกันในสวนซึ่งห่างไกลจากหมู่บ้านที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า กลัวเกรงว่ากาหลอจะนำความอัปมงคลมาสู่บ้าน แต่ในปัจจุบันนี้การฝึกหัดกาหลอไม่เคร่งครัดดังเช่นแต่ก่อนแล้ว กล่าวคือจะฝึกหัดกันที่ใดก็ได้ไม่จำกัดว่าจะต้องกลางทุ่งนาหรือในสวน และส่วนใหญ่ก็ฝึกกันที่บ้านของครูผู้ฝึกหัดนั่นเอง 6. เครื่องดนตรีหาหลอ แต่เดิมถือกันว่าเครื่องดนตรีบางชิ้นเช่นปี่ใครๆ จะมาจับถือไม่ได้ หรือ จะลองเป่าเล่นก็ไม่ได้ และโดยเฉพาะผู้หญิงห้ามจับต้องอย่างเด็ดขาด แต่ปัจจุบันนี้ความเชื่อเหล่านี้คลี่คลายไปมาก กล่าวคือใครๆ ก็ของจับหรือถูกปี่กาหลอได้ ประเพณีและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับกาหลอ ประเพณีและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับกาหลอมีอยู่หลายประการดังต่อไปนี้ 1. ประเพณีการแต่งกาย คณะกาหลอซึ่งประกอบด้วยผู้ประโคมดนตรี 4 คน คือ ผู้เป่าปี่ 1 คน ตีทน 2 คน และลั่นฆ้องอีก 1 คน นั้น จะมีอยู่คนหนึ่งที่แต่งกายผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ คือ ผู้เป่าปี่หรือหัวหน้าคณะกาหลอนั่นเอง เมื่อไปประโคมกาหลอ ณ ที่ใดหัวหน้าคณะกาหลอจะแต่งกายอย่างง่ายๆ คือ นุ่งผ้าขาวสีเรียบๆ โจงกระเบนมีผ้าขาวม้าคาดพุงส่วนเสื้อจะเป็นเสื้อแบบใดก็ได้ เสื้อจะต้องเป็นสีขาว ส่วนผู้เล่นกาหลอคนอื่นๆ มักจะแต่งกายตามสบาย ประเพณีกายแต่งกายของกาหลอแม้จะเคร่งครัดแต่ก็เรียบง่ายมาก 2. ประเพณีงานศพ งานศพเป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับกาหลอมากกว่างานอื่นๆ แต่เดิมงานศพแทบทุกงานจะต้องมีกาหลอไปประโคมหรือคุมศพ และนำศพ ผู้เป่าปี่กาหลอจะเป็นผู้มีบทบาทในประเพณีนี้มาก คือนอกจากจะบรรเลงเพลงต่างๆ เพื่อส่งดวงวิญญาณของผู้ตายแล้ว การปัดรังควานต่างๆ การบอกให้ยกศพ ตอนที่แหศพออกจากบ้านการทอดเชิงตะกอนเพื่อตั้งศพและเผาศพ ฯลฯ ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของกาหลอทั้งสิ้น การประโคมกาหลอจึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับประเพณีงานศพอย่างแนบแน่น 3. ประเพณีบวชนาค งานบวชนาคแต่เดิมนั้น นอกจากจะมีมหรสพอย่างอื่นๆ เช่น หนังตะลุง โนรา เพลงบอกแล้ว กาหลอก็เป็นเครื่องประโคมที่ขาดไม่ได้แต่กาหลอจะรับงานประโคมเฉพาะงานบวชนาค ซึ่งเป็นนาคเก่าๆ และบวชแล้วไม่สึกเท่านั้น กาหลอจะไปประโคมทั้งที่บ้านของเจ้าภาพและแห่นำนาคไปบวชที่วัด แต่พิธีการต่างๆ จะไม่เคร่งครัดเหมือนกับประเพณีงานศพ เพราะว่างานบวชนาคเป็นงานที่เป็นมงคลนั่นเอง 4. ประเพณีงานขึ้นเบญจาเพื่อรดน้ำคนเฒ่าคนแก่ การขึ้นเบญจาเพื่อรดน้ำคนเฒ่าคนแก่ ถือกันว่าเป็นงานมงคลที่จะมีผลดีบังเกิด ทั้งผู้ได้รับการรดน้ำและผู้รับน้ำเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเคารพ เทิดทูนและรำลึกในพระคุณของคนเฒ่าคนแก่ และแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณด้วย แต่เดิมนั้นกาหลอจะไปประโคมอยู่จนตลอดงาน และโดยเฉพาะตอนที่คนเฒ่าคนแก่ขึ้นเบญจาและกำลังทำพิธีรดน้ำอยู่นั้น การประโคมกาหลอจะมีความไพเราะมาก ในงานนี้พิธีการต่างๆ ที่กาหลอปฏิบัติจะไม่เคร่งครัดเหมือนประเพณีงานศพ บทสรุป ความคลี่คลายเปลี่ยนแปลงของกาหลอนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนย่อยบางประการเท่านั้น แก่นหรือเนื้อหาที่สำคัญๆ จริงๆ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เช่น พิธีการเข้าโรง การออกโรง (ลาโรง) หรือพิธีนำศพ และไสยศาสตร์บางประการผู้บรรเลงกาหลอส่วนใหญ่ยังคงยึดถือปฏิบัติสืบต่อขนบประเพณีเดิมอย่างเคร่งครัด กาหลอจึงยังเป็นการประโคมที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ในปัจจุบัน การประโคมกาหลอยังพอมีบรรเลงในงานศพอยู่บ้าง โดยเฉพาะในท้องถิ่นชนบทที่ไกลๆ ออกไป แต่ก็มีเหลืออยู่น้อยมาก ถ้าเปรียบเทียบกันเมื่อ 30-40 ปีมาแล้ว ทั้งนี้เพราะว่าการประโคมกาหลอมีแนวปฏิบัติหรือขนบประเพณีที่เคร่งครัดรัดกุมมากอย่างหนึ่ง และเพราะคนปัจจุบันนิยมในสิ่งใหม่ๆ อีกประการหนึ่ง จึงทำให้กาหลออาจจะสูญหายไปอย่างแน่นอน หากไม่ช่วยกันบำรุงส่งเสริมไว้ให้ทันกาล เอกสารอ้างอิง ชวน เพชรแก้ว. 2523. ชีวิตไทยปักษ์ใต้ ชุดที่ 3. กรุงเทพฯ : กรุงสยาม. ใต้ หรอย มีลุย : บอกเล่าเรื่องราวความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของภาคใต้. 2547. กรุงเทพฯ : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. 2548. ศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ : ว่าด้วยภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะ ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีพื้นบ้าน. กรุงเทพฯ : สิวีริยาศาส์น วีระศักดิ์ จันทร์ส่งแสง กาหลอ มโหรีส่งวิญญาณ http://www.sarakadee.com/feature/2003/08/kalo.htm (เข้าถึง 11 เมษายน 2559) |
เอกสารเพิ่มเติม |
ดาวน์โหลด |
เรามีการใช้คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหรือเพื่อการทำงานของเว็บไซต์และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายแนวปฎิบัติการใช้คุกกี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ที่ Cookies Policy