ชื่อการละเล่น | ซัมเปง |
---|---|
รายละเอียดการละเล่น | ซัมเปง ซัมเปงเป็นการเต้นรำพื้นบ้านที่นิยมกันในหมู่บ้านชาวไทยเชื้อสายมลายู ซัมเป็งแพร่เข้ามายังแหลมมลายูเป็นการเต้นรำเฉพาะในวังของเจ้าเมืองและบ้านขุนนาง เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง การแต่งกาย ผู้หญิง แต่งหน้าทาปากแต่งผมพร้อมเครื่องประดับศีรษะสวยงาม นุ่งผ้า “กาเอนบือเละ” (ผ้าถุง) ยาวกรอมเท้าลาดลายปาเต๊ะ สวมเสื้อ “กูรง” คือเสื้อเข้ารูปยาวคลุมสะโพก คอกลมติดผ่าหน้ากว้างพอสวมศีรษะได้ (หรือผ่าหน้าตลอดติดกระดุมทอง) แขนยาวทรงกระบอกมีผ้าผืนใหญ่บางคลุมไหล่ใส่เครื่องประดับ เช่น สร้อย แหวน กำไร ต่างหู เข็มขัด ฯลฯ อย่างสวยงาม ซัมเปงเป็นนาฎศิลป์แบบหนึ่งของชาวไทยมุสลิมทางชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มีลีลาการเต้นคล้ายคลึงกับการเต้นรองเง็ง ใช้แสดงในโอกาสต้อนรับแขกสำคัญของท้องถิ่น หรือเต้นโชว์เมื่อเวลามีงานรื่นเริง ในปัจจุบันนี้ การเต้นซัมเปงได้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้ไวโอลีน และกีตาร์ เข้ามาประกอบในการทำเสียงดนตรี ลีลาท่าเต้นรำ ก็มีการประดิษฐ์ท่าใหม่ขึ้นมา เครื่องดนตรี 1. กลองรำมะนาขนาดเล็ก (เรียกมอรูวัส) เป็นเครื่องตีขัดจังหวะการเต้นและสร้างความสนุกเร้าใจ 2. ซอสามสาย (แต่มี 2 สาย เรียกรือบะ Rebab หรือคาบุสก็เรียก) เป็นตัวนำให้ทำนองเพลงที่ไพเราะอ่อนหวาน ยุคปัจจุบันมีการใช้ไวโอลินและกีร์ต้าเข้ามาแทน 3. ฆ้อง (เรียก ฆง) เป็นเครื่องให้จังหวะในการเต้นรำ ประสานกับกลอง ลักษณะการเต้นรำ เป็นการเต้นรำคู่ชายหญิง ไม่มีการจับมือถูกต้องตัวกัน ต่างเต้นคู่ร่ายรำไปตามจังหวะดนตรี กล่าวกันว่าเดิมนั้นซัมเปงมีการเต้นรำกันเพียงคู่เดียว เป็นท่าที่เต้นหมุนไปรอบๆ เรียก “ปูซิปันยัง” ต่อมาภายหลังมีผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำเพิ่มอีกราว 5 ท่า และเพิ่มคู่เต้นรำมากขึ้น เพื่อให้สนุกมีผู้ร่วมเต้นรำได้มากขึ้น ท่าเต้นรำทั้ง 5 ท่า คือ 1. ท่ายาลันปือโต คือ การเต้นแบบเดินตรงไปข้างหน้า 2. ท่าฮูโนปลาวัน คือ ท่าเต้นถอยหลัง 3. ท่าซีกูกูราวัง คือ ท่ากางแขนคล้ายๆ กับค้างคาวบิน 4. ท่าซีซิอิกัน คือ ท่าเต้นย้ายตำแหน่งระหว่างชายหญิงแบบก้างปลา 5. ท่าวินัส คือ ท่าสะบัดปลายเท้า ประวัติความเป็นมาการแสดงซัมเปง ซัมเปงเป็นการเต้นรำพื้นบ้านที่นิยมกันในหมู่ชาวไทยเชื้อสายมลายูแถบ 3 จังหวัดภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตลอดจนในแถบประเทศมาเลเซีย เป็นการเต้นรำที่ได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากพวกสเปน ในราวพุทธศตวรรษที่ 22-24 ที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้ยึดครองฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคม แต่ได้ดัดแปลงกระบวนการเต้นรำให้เหมาะสมเป็นแบบฉบับของท้องถิ่นตนเอง และชื่อ “ซัมเปง” ก็เป็นคำที่เพื้ยนกลายเสียงมาจากคำว่า “สเปน” นั้นเอง เป็นการแสดงของชาวตะวันออกกลางกลุ่มประเทศอาหรับ ได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซียและจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยโดยในเขตจังหวัดนราธิวาสโดยพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายในแถบนี้ ซัมเปงเป็นคำอาหรับที่เรียกแทนการเต้นไม่มีความหมาย แต่เดิมเรียกว่า ซาเปนซึ่งตรงกับภาษารูมีของมาเลเซียว่า ซาปิน นิยมแสดงมากบริเวณ รัฐ Johor (ยะโฮร์) Pahang (ปาหัง) และ Selangor (รัฐสลังงอร์) ประเทศมาเลเซีย ซึ่งซาปินมีทั้งหมด 13 ประเภท แต่ละประเภทก็จะมีการเต้นที่แตกต่างกันไป การเต้นในยุคแรกใช้ผู้ชายเต้นล้วนและต้องบรรเลงดนตรีสดเท่านั้น การแสดงซาปิน (Zapin) ที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายูโดยชุมชนชาวอาหรับที่ตั้งถิ่นฐานในรัฐยะโฮร์ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งเป็นประเพณีเฉพาะของชาวอาหรับมาเลย์และแพร่หลายไปทั่วคาบสมุทรมลายูจนเป็นที่ยอมรับในรูปแบบศิลปะแห่งชาติของมาเลเซีย ซาปินจะมีทั้งรูปแบบอาหรับและมลายูซึ่งทั้ง 2 รูปแบบเป็นที่ยอมรับในยะโฮร์และมาจากประเพณีของชาวอาหรับบนคาบสมุทรชายฝั่งทางใต้ของเยเมน 1. ซาปินอาหรับ คือ การเต้นที่แข็งแกร่งมีความกระตือรือร้นสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีเต้นรำของ Hadhramic (แองจีเรีย) เครื่องดนตรีที่ใช้คือ Gambus, Marwas, Dokdrum ซึ่งมีกลิ่นอายของตะวันออกปัจจุบันแสดงโดยคนในชุมชนอาหรับในยะโฮร์ 2. ซาปินมลายู มีต้นกำเนิดจากการปรับตัวทางวัฒนธรรมโดยผสมกลมกลืนซาปินอาหรับ ผู้แสดงส่วนใหญ่คือชาวมาเลย์และมาเลย์เชื้อสายอาหรับ เพลงประกอบจะเป็นการเดี่ยว Gambus และมีนักดนตรีกลองเล่นเชื่อมและร้องเพลงประกอบอีกด้วย การแสดงซาปินจะใช้ผู้ชายแสดงล้วนประมาณ 6 – 7 คน การแสดงจะเริ่มที่ดนตรีโหมโรงโดยการเดี่ยว Gambus หรือไวโอลิน หรือแอคคอเดี้ยน นักแสดงจะออกมายืนในตำแหน่งของตน เพื่อทำการสลาม ต่อจากนั้นก็แสดงในลักษณะของการนั่งเข่า เมื่อดนตรีบรรเลงท่อนหลักนักแสดงก็เคลื่อนที่ไปรอบๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางการหมุนตัว การยืน การนั่งยอง เมื่อจบการแสดงก็จะทำ การสลามอีกครั้ง ซัมเปงแพร่เข้ามายังแหลมมลายูโดยผ่านพวกมลายูที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะต่างๆ ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ในยุคแรกนิยมเต้นรำกันเฉพาะในวังของเจ้าเมืองและบ้านขุนนางก่อน เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ต่อมาจึงแพร่หลายไปสู่ชาวและเป็นที่นิยมแพร่หลายคู่กับรองเง็ง เป็น การเต้นรำแบบคู่ชายหญิงคล้ายกัน วิวัฒนาการการแสดงซัมเปง การแสดงซัมเปงในอดีต การเต้นซัมเปงเป็นการเต้นคู่ชายหญิงที่ต่างคนต่างเต้นเป็นคู่ๆ หากแต่เดิมนั้นมีการเต้นเพียงคู่เดียว และท่าของการเต้นมีอยู่ท่าเดียวเท่านั้น คือ ท่าที่เรียกว่า “ปูซิงปันยัง” ซึ่ง เป็นท่าที่หมุนไปรอบๆ ต่อมาเพิ่มเติมขึ้นอีก 5 ท่า รวมทั้งหมดเป็น 6 ท่าด้วยกัน คือ ยาลือบือโต เป็นท่าเต้นแบบเดินตรงไปข้างหน้า ฮูโนปลาวัน เป็นท่าเต้นถอยหลัง ซีกูกูราวัง เป็นท่ากางแขนทำนองค้างคาวบิน ซีซิอิกัน เป็นท่าเต้นย้ายตำแหน่งระหว่างชายหญิงแบบก้างปลา ปูซิงปันยัง เป็นท่าที่เต้นหมุนไปรอบๆวีนัส เป็นท่าสะบัดปลายเท้า ซึ่งเป็นจังหวะที่เร็วมากและการเต้นจบลงในจังหวะนี้ การแสดงจะเริ่มเมื่อดนตรีดังขึ้น คู่ชายหญิงก็จะออกไปแสดงลีลาการเต้นพร้อมกันทั้งหมด และจะเปลี่ยนท่าไปตามทำนองของดนตรีอย่างสวยงามตามลำดับท่า และในท่าสุดท้ายดนตรีจะรัวเร็ว ผู้แสดงจะเต้นสะบัดปลายเท้าเร็วมากและเมื่อใกล้จะจบเพลงทำนองเพลงเร็วขึ้น จบการแสดงโดย ผู้เต้นจะหยุดเต้นลงพร้อมกันเมื่อเวลาเพลงจบพอดี ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ครูนิวัตน์ ยะปา ได้เปลี่ยนรูปแบบการแสดงโดยมีการแปรแถวที่หลายรูปแบบ อาทิ แถวหน้ากระดาน แถวตอน แถววงกลมแยกเดี่ยว แถววงกลมแยกคู่ แถววงกลมสลับเข้า – ออก โดยการเคลื่อนที่จากจุดเดิมตลอดจนจบเพลง และคิดประดิษฐ์ท่าเต้น เพิ่มเติมขึ้นอีก 4 - 5 การแสดงจะเริ่มเมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง คู่ชายหญิงก็จะออกไปแสดงลีลาการเต้นพร้อมกันทั้งหมด และจะเปลี่ยนท่าเต้นและแปรแถวไปตามทำนองของดนตรี การเต้นซัมเปงในปัจจุบัน จะมีการนำท่าทางของซัมเปงมาจัดลำดับท่า และแถวให้สวยงามได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยเพื่อง่ายในการถ่ายทอด และในแต่ละคณะจะมี การเรียบเรียงท่ารำที่แตกต่างกันบ้างแต่ส่วนมาก ท่ารำการแสดงซัมเปงจำแนก ได้ 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1. ท่าออก 2. ท่าเบสิคหรือท่าพื้นฐาน 3. ท่าหลักหรือท่าเข้าดอก 4-5 ผู้แสดงซัมเปงในสมัยแรกเริ่มใช้ผู้ชายล้วนซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการแสดงเพื่อเผยแพร่ศาสนาของชาวอาหรับในมลายู ต่อมาเมื่อการแสดงเริ่มแพร่หลายในมลายู ผู้หญิงเริ่มเข้าร่วมการแสดงจนกลายเป็นการเต้นคู่ชาย-หญิงโดยมากมักแสดงในวัง การแสดงซัมเปงนิยมแสดงในจังหวัดนราธิวาสเพียงจังหวัดเดียวเท่านั้นส่วนมากจะเป็นผู้สูงอายุ อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 30 – 50 ปี มีอาชีพเป็นพ่อค้า ข้าราชการ และแม่บ้าน ประมาณ 30 คน เมื่อมีการรำหน้าพระที่นั่งที่ตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นักแสดงรองเง็งจากจังหวัดปัตตานีได้รับชม การแสดงซัมเปงก็เกิดความสนใจอยากแสดงซัมเปง เมื่อครั้งที่อาจารย์สมชาย พูลพิพัฒน์ได้จัดโครงการอบรมถ่ายทอดความรู้การแสดงซัมเปงโดยเชิญนักแสดงซัมเปงจากนราธิวาส ณ มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีในปี พ.ศ. 2530 ทำให้การแสดงซัมเปงมีแพร่หลายในจังหวัดปัตตานีและจังหวัดอื่นๆ ในภาคใต้ นักแสดงในปัจจุบันส่วนมากจะเป็นนักแสดงตามสถานศึกษา ส่วนมากจะเป็นครู อาจารย์ จากโรงเรียน มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมตัวกันเมื่อมีการแสดง นักเรียน นักศึกษาที่ทางสถาบันได้ให้ การสนับสนุนด้านการแสดงโดยมากมักเป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา และโรงเรียนประถมศึกษา นักแสดงในปัจจุบันจึงมีทั้งผู้หญิงล้วน และผู้ชายคู่ผู้หญิง ส่วนจำนวนคู่ในการแสดงนิยมเล่นตั้งแต่ 2 – 4 คู่ วิวัฒนาการด้านเครื่องแต่งกาย การแสดงซัมเปง การแต่งกายในอดีต ทั้งชายและหญิงแต่งแบบพื้นเมืองสอดคล้องกับวิถีชีวิตในการดำรงชีพ แต่งแบบเรียบง่าย ได้แก่ ผู้ชายสวมเสื้อคอจีนทรงหลวมแขนยาว นุ่งกางเกงขายาว มีผ้าสลีแนสวมทับเสื้อและกางเกงเหนือเข่า สวมหมวกซอเกาะสีดำ ผู้หญิงสวมเสื้อลูกไม้เข้ารูปคอวี แขนยาว ผ่าอก ผ้านุ่งใช้ผ้าปาเต๊ะ ใช้ผ้าสไบคล้องคอสีตัดกับชุด นอกจากนี้หากการแสดงซัมเปงสำหรับแสดงถวายทอดพระเนตร มักนิยมสวมชุดราชสำนัก สีทองหรือสีเหลืองทอง เครื่องประดับบนศีรษะปักปิ่นซัมเป็ง หรือปิ่นดอกไม้ไหว ใบไม้ไหว เพราะ การทำใช้ปิ่นประเภทนี้มักมีความพลิ้วไหวในท่วงท่าที่นักแสดงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับท่วงทำนองเพลงที่มีความอ่อนหวาน และไม่สวมรองเท้า การแต่งกายในปัจจุบัน แต่งแบบพื้นเมืองโดยพัฒนาแบบจากราชสำนักมลายูชาย – หญิง ใช้ผ้าสอดดิ้นเงิน – ทอง ลวดลายสวยงาม สีสันสดใส ลักษณะการตัดเย็บมักใช้ผ้าแบบเดียวกันทั้งชุดผู้ชายและผู้หญิง สำหรับหมวกผู้ชายนำผ้าชนิดเดียวกับชุดจับจีบ ตัดเย็บเป็นหมวกคล้ายชะตางันของเจ้าบ่าว ส่วนผ้าสไบของผู้หญิงมีการปรับเปลี่ยนจากคล้องคอเป็นพาดไหล่ โดยมากมักให้ปลายผ้าด้านหนึ่งด้านใดพาดที่ไหล่ ส่วนปลายมาอีกข้างคล้องที่แขนเพื่อเป็นวางท่วงท่าของมืออย่างสง่างาม มี การสวมเครื่องประดับได้แก่ สร้อยคอ ต่างหู ปิ่นดอกซัมเปง ดอกไม้ไหว หรือดอกไม้สด ดอกไม้ปลอมทัดผม วิวัฒนาการด้านเครื่องดนตรีและเพลง การแสดงซัมเปง ในอดีตเครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงซัมเปงมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่ มอรูวัส คาบุส และฆ้อง ต่อมามีการนำเครื่องดนตรีประเภท ไวโอลิน แมนดาริน และมารากัส จนปัจจุบันมีการเลิกใช้คาบุส และใช้วงดนตรีของรองเง็ง โดยมากหากมีการแสดงซัมเปง วงดนตรีที่ใช้คือวงรองเง็ง เพลงที่ใช้ในการแสดงซัมเปง นิยมใช้เพลงสกาปูซีและซัมเปง เพราะเป็นเพลงที่มีทำนองช้า ทำให้ผู้แสดงสามารถอวดลีลาท่าทางได้สง่างาม บางคณะก็ใช้เพลงอาเนาะอะยังซัมเปง องค์ประกอบการแสดง ผู้แสดง นักแสดงชาย นักแสดงหญิง นักดนตรี 6 คน การแต่งกาย หมวก เสื้อ ผ้าคาดสะเอว ผ้านุ่ง กางเกง รองเท้า ปิ่น เสื้อ ผ้านุ่ง รองเท้า เครื่องดนตรี รำมะนา (เครื่องตี : เครื่องดนตรีพื้นบ้าน) ฆ้อง (เครื่องตี : เครื่องดนตรีพื้นบ้าน) ไวโอลิน (เครื่องสาย : เครื่องดนตรีตะวันตก) แมนโดลิน (เครื่องสาย : เครื่องดนตรีตะวันตก) แอคคอเดี้ยน (เครื่องลิ่มนิ้ว : เครื่องดนตรีตะวันตก) มารากัส (เครื่องประกอบจังหวะ : เครื่องดนตรีตะวันตก) Tarabuka (เครื่องตี : เครื่องดนตรีตะวันตก) การเต้นซัมเปงเป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้ของประเทศไทยที่มีลีลาการเต้นคล้ายคลึงกับการเต้นรองเง็ง มีผู้สันนิษฐานว่าคงเป็นการเต้นรำที่ได้แบบอย่างมาจากฝรั่งชาติสเปนซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กันในอดีต แล้วได้เอามาผสมผสานกับลีลาการเต้นรำตามแบบของชาวพื้นเมืองและในชั้นแรกน่าจะเกิดขึ้นในราชสำนักของสุลต่านหรือในบ้านของขุนนางผู้ใหญ่ก่อน เพราะการเต้นซัมเปงเป็นการแสดงคู่ชายหญิง ซึ่งวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ดังนั้น ผู้หญิงที่ได้ฝึกหัดเต้นซัมเปงก็เป็นเฉพาะบริวารของสุลต่าน หรือขุนนางผู้ใหญ่เท่านั้น ส่วนผู้หญิงอื่นไม่มีโอกาสฝึกหัดกันเลย ต่อมาภายหลังการเต้นซัมปังจึงได้แพร่หลายออกไปสู่ชาวบ้าน การเต้นซัมเปงนิยมแสดงในงานต้อนรับแขกคนสำคัญของท้องถิ่น หรือเต้นโชว์ในงานรื่นเริง ก่อนนี้การเต้นซัมเปงได้ซบเซาไปเป็นเวลานานมาก เพราะขาดการสนับสนุน แต่ในปัจจุบันนี้ได้รับการฟื้นฟูส่งเสริมจนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เพราะการเต้นซัมเปงมีลีลาจังหวะที่งดงาม การแสดงซัมเปงของ อาเน๊าะบุหลัน ขนบนิยมในการแสดง การเต้นซัมเปงใช้แสดงในโอกาสต้อนรับแขกสำคัญของท้องถิ่น หรือเต้นโชว์เมื่อเวลามีงานรื่นเริง ส่วนสถานที่นั้นอาจจะเป็นบนเวทีหรือในลานบ้านตามแต่ความเหมาะสม และจะแสดงในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้ การเต้นซัมเปงเป็นการเต้นคู่ชายหญิง แต่ไม่ใช่เป็นการพาคู่เต้นแบบลีลาศ หากแต่ต่างคน ต่างเต้นเป็นคู่ๆ ไปตามจังหวะของดนตรี แต่เดิมนั้นการเต้นซัมเปงมีเพียงคู่เดียวและท่าของการเต้นมีเพียงหนึ่งท่าเท่านั้น คือท่าที่เรียกว่า “ปูซิงปันยัง” ซึ่งเป็นท่าที่หมุนไปรอบๆ แต่ปัจจุบันนี้จะเต้นกี่คู่ก็ได้ และครูผู้สอนได้คิดประดิษฐ์ท่าเต้นเพิ่มเติมขึ้นมาอีกหลายท่า เมื่อดนตรีดังขึ้น คู่ชายหญิงก็จะออกไปแสดงการเต้นพร้อมกันทั้งหมด และจะเปลี่ยนยักย้ายท่าต่างๆ ไปตามทำนองดนตรีอย่างสวยงาม เมื่อถึงท่าสุดท้ายดนตรีจะรัวเร็วคึกคะนอง ผู้แสดงจะเต้นสะบัดปลายเท้าเร็วมากและยิ่งเร็วขึ้นเมื่อดนตรีใกล้จะจบเพลง และผู้แสดงจะหยุดเต้นพร้อมกันเมื่อเวลาจบเพลงพอดี ในการเต้นซัมเปงนิยมแต่งกายหรูหราแบบพื้นเมือง เช่นเดียวกันกับเวลาแต่งออกงานสังคม คือผู้ชายจะนุ่งกางเกงทรงคล้ายกางเกงแพรของจีน สวมเสื้อตือโละบือลางอ มีผ้าเซอลีแน และสวมหมวกซอเกาะ ส่วนผู้หญิงจะแต่งหน้าแต่งผม นุ่งผ้ากาเอนบือเละ สวมเสื้อกูลง มีผ้าคลุมไหล่และมีแหวน สร้อยคอประดับอย่างสวยงาม ความเชื่อ วัฒนธรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การเต้นซัมเปงไม่มีความเชื่อที่ยุ่งยากประการใด กล่าวคือผู้แสดงจะเป็นใครก็ใดสถานที่ใด ก็ได้ เว้นแต่ศาสนสถานและในบ้านของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางศาสนา เช่น ดาโต๊ะยุติธรรมโต๊ะอิหม่าม เป็นต้น เพราะตามวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิมถือกันว่า ผู้ดำรงตำแหน่งเช่นนี้ไม่ควรแสดงความรื่นเริงอย่างออกหน้าออกตา และไม่ควรเป็นเจ้าภาพเกี่ยวกับงานรื่นเริง ในปัจจุบันนี้ การเต้นซัมเปงได้มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของชาวตะวันตกเข้ามาสอดแทรกมาก เช่นการใช้ไวโอลีน และกีตาร์เข้ามาประกอบในการทำเสียงดนตรี ลีลาท่าเต้นรำก็มีการประดิษฐ์ท่าใหม่ที่มีการจับมือระหว่างคู่เต้นชายหญิงตามแบบการเต้นลีลาศของชาวตะวันตกด้วยคุณค่า/สาระ การเต้นซัมเปงเป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองของชาวไทยมุสลิมทางภาคใต้ของประเทศไทยที่มีลีลาการเต้นคล้ายคลึงกับการเต้นรองเง็ง มีผู้สันนิษฐานว่าคงเป็นการเต้นรำที่ได้แบบอย่างมาจาก ฝรั่งชาติสเปน ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กันในอดีต แล้วได้เอามาผสมผสานกับลีลาการเต้นรำตามแบบของชาวพื้นเมืองและในชั้นแรกน่าจะเกิดขึ้นในราชสำนักของสุลต่านหรือในบ้านของขุนนางผู้ใหญ่ก่อน เพราะการเต้นซัมเปงเป็นกาแสดดงงคู่ชายหญิง ซึ่งวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิมถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ดังนั้นผู้หญิงที่ได้ฝึกหัดเต้นซัมเปงก็เป็นเฉพาะบริวารของสุลต่านหรือขุนนางผู้ใหญ่เท่านั้น ส่วนผู้หญิงอื่นไม่มีโอกาสฝึกหัดกันเลย ต่อมาภายหลังการเต้นซัมปังจึงได้แพร่หลายออกไปสู่ชาวบ้าน การเต้นซัมปังนิยมแสดงในงานต้อนรับแขกคนสำคัญของท้องถิ่น หรือเต้นโชว์ในงานรื่นเริง ก่อนนี้การเต้นซัมเปงได้ซบเซาไปเป็นเวลานานมาก เพราะขาดการสนับสนุน แต่ในปัจจุบันนี้ ได้รับการฟื้นฟูส่งเสริมจนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เพราะการเต้นซัมเปงมีลีลาจังหวะที่งดงาม เครื่องดนตรีก็มีเพียงไม่กี่ชิ้น ได้แก่ ฆอรูวัส รือบะ และฆ้อง ตลอดทั้งไม่มีความเชื่อที่ก่อให้เกิดความยุ่งยากแต่ประการใด ในปัจจุบันการเต้นซัมเปงได้พัฒนาไปจากรูปแบบเดิมมาก เช่นเดิม มีท่าเต้นรำเพียงท่าเดียวก็ได้คิดประดิษฐ์เพิ่มเติมขึ้นหลายท่า และมีท่าจับ มือคู่เต้น ระหว่างชายหญิงซึ่งแต่เดิมไม่มี นอกจากนี้ยังมีกีตาร์ และไวโอลีนเข้ามาประกอบในการทำเสียงดนตรีด้วย แต่จังหวะทำนอง เพลงและความนิยมในการแต่งกายของการเต้นซัมเปงยังเป็นไปตามแบบเดิม บรรณานุกรม พรเทพ บุญจันทร์เพ็ชร์. 2544. นาฏศิลป์พื้นบ้านของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้. ไพบูลย์ ดวงจันทร์. 2551. ลักษณะไทย ศิลปะการแสดง. กิตติชัย รัตนพันธ์. 2549. ดนตรี - นาฏศิลป์พื้นบ้านภาคใต้. |
เอกสารเพิ่มเติม |
ดาวน์โหลด |
เรามีการใช้คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหรือเพื่อการทำงานของเว็บไซต์และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายแนวปฎิบัติการใช้คุกกี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ที่ Cookies Policy