| ชื่อการละเล่น | มะโย่ง |
|---|---|
| รายละเอียดการละเล่น | การละเล่นพื้นบ้านมะโย่ง ประวัติ กำเนิดของมะโย่ง (Mak Yong) คือ ศิลปะการละครร่ายรำมลายูชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะของการผสมผสานทางพิธีกรรม ความเชื่อ การละคร นาฏศิลป์ และดนตรีเข้าด้วยกัน มีความกลมกลืนจนเป็นศิลปะชั้นเลิศของมลายู จัดเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านชั้นเลิศของวัฒนธรรมท้องถิ่นมลายู ถือเป็นการละเล่นพื้นบ้านที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นมลายูที่สามารถชมกันได้ในรัฐกลันตัน ตรังกานู และเคดาห์ (ไทรบุรี) ซึ่งเป็นรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย บริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ไกลจนถึงเกาะสุมาตราเหนือของประเทศอินโดนีเซีย คนไทยเชื้อสายมาลายูในจังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกการละเล่นมะโย่งว่า “เมาะโย่ง” ตามสำเนียงภาษามลายูถิ่นปัตตานี การละเล่นมะโย่งเชื่อว่ามีกำเนิดมาจากความเชื่อในเรื่องของพระเจ้า และแรงบันดาลใจ ตามแนวทฤษฎีนิรุกติศาสตร์คำว่า “มะโย่ง” มาจากคำว่า “มะฮียัง” (Mak Hiang) ซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของแม่โพสพ ซึ่งตรงกับชื่อของแม่โพสพของชาวฮินดู-ขาว ว่า เทวีศรี” (Dewi Seri) ทำให้เกิดการสันนิษฐานว่ามะโย่งเป็นการละเล่นที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมบูชาธรรมชาติ เป็นการบูชา แม่โพสพ หรือบูชาขวัญข้าว (Semangat padi) ชาวกลันตันเชื่อว่ามะโย่งมีกำเนิดมาตั้งแต่ครั้งสมัยของท่านนบีอาดัม ผู้เป็นบรรพบุรุษของมนุษยชาติ บางกระแสเชื่อว่ามะโย่งมีกำเนิดมาจากลัทธิ ความเชื่อในภูตผีวิญญาณ (animism) และแนวทางการรักษาโรคด้วยวิธีการทางไสยศาสตร์ เพราะพบว่ามีการว่าจ้างคณะมะโย่งไปแสดง เพื่อการรักษาโรคที่บ้านของผู้นำ ในทางประวัติศาสตร์มะโย่งเป็นศิลปะการละครรำมลายูที่ไม่อาจจะระบุให้ชัดเจนได้ว่าเป็นวัฒนธรรมหลวงหรือเป็นวัฒนธรรมราษฎร์ เชื่อว่ามะโย่งไม่ได้มีกำเนิดมาจากราชสำนักและการแสดงมะโย่งมีขึ้นในคริสต์สตวรรษที่ 19 ในขณะที่นักวิชาการของมาเลเซียหลายคนเชื่อว่ามะโย่งมีแสดงอยู่ในราชสำนักอาณาจักรปัตตานีในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทั้งๆ ที่ในหนังสือฮิกายัตปัตตานี (Hikayat Patani) หรือพงศาวดารปัตตานี ตามคำบอกเล่าของ นายปีเตอร์ ฟลอริส (Peter Flores) ไม่ได้ระบุว่าการแสดงที่เขาได้รับชมในอาณาจักรปัตตานีสมัยพระนางเจ้าฮีเฌา (Raja Hijau) ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 นั้นเป็นการแสดงมะโย่งแต่ อย่างใด เพียงแต่บอกว่าเป็นการแสดงที่ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน สำหรับหลักฐานที่มีอยู่ในปัตตานีปัจจุบันเป็นแต่เพียงคำบอกเล่าจากคณะมะโย่ง ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามะโย่งมีกำเนิดมาจากหมู่เกาะชวา โดยชนเผ่าบาตั๊กปูเต็ฮ (Batak Putih) เป็นเจ้าของการเล่นชนิดนี้ แล้วแพร่สู่อาณาจักรปัตตานี เมาะโย่งเดิมทีในสมัยโบราณใช้แสดงในการประกอบพิธีกรรมบูชาขวัญข้าว (ปัจจุบันได้ยกเลิกไปแล้ว) งานแก้บนสะเดาะเคราะห์ งานประเพณีเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่างๆ เช่น แต่งงาน งานเข้าสุนัต งานเมาลิต งานฮารายา งานเทศกาลประจำปีของจังหวัด งานต้อนรับบุคคลสำคัญระดับประเทศ แต่ในปัจจุบันงานเหล่านี้ไม่มีการแสดงเมาะโย่งแล้ว เอกสารของสำนักงานวัฒนธรรมอำเภอสะบ้าย้อย ซึ่งอ้างอิงมาจาก นูรียัน สาและ,สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ กล่าวว่า มะโย่งหรือหมาโย่ง เป็นการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวไทยมุสลิมที่มีลีลาการแสดงคล้ายคลึงกับโนรามาก ใช้แสดงเพื่อความบันเทิงและใช้บน หรือสะเดาะเคราะห์ ความเป็นมาคาดว่าได้รับการถ่ายทอดวิธีการแสดงจากแหล่งเดียวกันกับละครรำของไทย ที่รัฐเกเรลา ทางตอนใต้ของอินเดีย มีการแสดงละครเร่อยู่แบบหนึ่ง เรียกว่า ยาตรี หรือชาตรี เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของโนราและมะโย่ง มีข้อสันนิษฐานว่า มะโย่งเป็นการละเล่นที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมบูชาธรรมชาติ เป็นการบูชาแม่โพสพหรือบูชาขวัญข้าว บางกระแสว่ามีกำเนิดมาจากลัทธิคามเชื่อในภูตผีวิญญาณ และแนวทางการรักษาโรคด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ เพราะพบว่ามีการว่างจ้างคณะมะโย่งไปแสดงเพื่อการรักษาโรคที่บ้านผู้ป่วย (คล้ายโนราโรงครู) คำบอกเล่าของคณะมะโย่งในปัจจุบันมิอาจระบุแหล่งกำเนิดของมะโย่ง แต่นักวิชาการของมาเลเซียสันนิษฐานว่าน่าจะมีกำเนิดมาจากอาณาจักรปัตตานีในอดีต เพราะมะโย่งใช้ภาษามลายูสำเนียงถิ่นปัตตานีมาแสดง การแสดงมักจัดในโอกาสประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เช่นงานพิธีกรรมบูชาขวัญข้าว งานแก้บนสะเดาะเคราะห์ และงานประเพณี เทศกาลเฉลิมฉลอง การแสดงจะสร้างโรงขึ้นง่ายๆ เรียกว่า “บังซัล” หรือ “ปังงง” ปัจจุบันมักยกพื้นสูงมากกว่าเดิมเพื่อให้ผู้ชมมองเห็นทั่วถึง เป็นโรงละครเปิดกลางแจ้ง ก่อนเปิดการแสดงต้องเริ่มด้วยพิธีกรรมการเปิดโรงเรียกว่า บูกา ปังงง เมื่อสิ้นสุดการแสดงทุกครั้ง จะต้องทำพิธีกรรมเปิดโรง นักวิชาการบางท่านกล่าวว่า ประวัติความเป็นมาของมะโย่งมี 3 ตำนาน คือ ตำนานที่ 1 พระราชโอรส 2 พี่น้องของกษัตริย์องค์หนึ่งเสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงและพระสหาย ได้ทอดพระเนตรเห็นแรดขาวตัวหนึ่งบนภูเขาอโย่ง พระราชโอรสมีความประสงค์ใคร่จะได้แรดขาวตัวนั้น แต่จับไม่ได้จึงเสด็จกลับมาจัดแสดงการเป็นอยู่ของแรดขาวตัวนั้น มีผู้แสดง 4-5 คน มีเครื่องดนตรี คือ ซอ 1 คัน ตาเวาะ 2 วง ปี่และกลอง ได้ประทานนามการแสดงครั้งนั้นว่า “มะโย่ง” เพราะแรดขาวตัวนั้นพบบนภูเขาอโย่ง ในรัฐตรังกานู และ “มะ” ที่เติมหน้านั้นมาจาก “เมาะ” คือ เป็นการแสดงของสตรี ฉะนั้นมะโย่งตามตำนานนี้จึงมาจากเรื่องราวของ แรดขาวบนภูเขาอโย่งในรัฐตรังกานู ตำนานที่ 2 รายาบรือราสะครองเมืองบรือดะ มีธิดานามว่า ฆานอสุรี และโอรส (ไม่ปรากฏนาม) สามารถแปลงกายเป็นสุนัขดำ วันหนึ่งพระธิดาออกประพาสป่าพร้อมด้วยสุนัขดำ ไปพบบาเตาะ หรือคนป่า ซึ่งสามารถร้องเพลงไพเราะจับใจ พระธิดาขอร้องเพลงด้วย เมื่อร้องครบเจ็ดวันจึงเสด็จกลับวัง อยู่มาไม่นานทรงครรภ์กับพระเชษฐา เป็นสาเหตุให้ถูกขับไล่ออกจากเมือง ต่อมารายาบรือราสะรับสั่งให้ทหารฆ่าสุนัขดำ และรับเอาพระธิดาและพระนัดดากลับเมือง วันหนึ่งพระกุมารล้มเจ็บ รายาสั่งให้โหรทำนายและรักษาพระนัดดา โหรรักษาโดยการประกอบซอจากเส้นเกศาฆานอสุรีเป็นสายคันชัก เมื่อประกอบเป็นซอเสร็จแล้วโหรจึงให้พระกุมารสีซอ ซอเสียงดังว่า “พ่อตายแต่แม่ยังอยู่” พระกุมารได้ยินเสียงนี้จึงหายเจ็บไข้ จากนั้นพระกุมารได้ลาไปเรียนสีซอและการร้องรำกับบาเตาะปูเตะ เสียงซอที่บอเตาะสอนมีเสียงว่า เปาะโย่ง พระนัดดาจึงมีนามว่าเปาะโย่ง มาตั้งแต่นั้น เมื่อเปาะโย่งกลับเมือง บรือดะแล้วได้แสดงความสามารถถวายรายา เปาะโย่งให้คนไปตัดไม้ไผ่มาทำซือแระ (แตระ) ไม้ปูตะ (ไม้จิก) ทำกือแน (กลอง) พร้อมกับผู้สีซออีกคนหนึ่ง เสร็จแล้วเปาะโย่งร่ายรำและร้องเพลงเป็นที่ ชื่นชอบแก่ผู้ชม เป็นเหตุให้มีการแสดงประเภทนี้แพร่หลายเป็นลำดับ ตำนานที่ 3 มะโย่งเกิดที่มายอปาเห็ด สมัยรายา มูดอแลแลอ บ้างว่าเกิดที่เมือง แปลหมัง (ปาเล็มบัง) สมัยรายากาซีนาปันฆีตอ มีระธิดาเจ็ดพระองค์ ขณะที่ประพาสอุทยานที่ กอแลตาแมกูนุงสารี หรือสระน้ำ ณ อุทยานเชิงเขา ได้ศึกษาวิชาขับร้องฟ้อนรำกับ นายตูระ ซึ่งมีเสียงอันไพเราะจับใจ เสร็จแล้วเสด็จกลับวัง ต่อมารายารับสั่งให้นายตูระและพระธิดาแสดงมะโย่งขึ้นเป็นครั้งแรก โดยพระธิดาองค์โตแสดงเป็นเปาะโย่ง องค์รองเป็นเมาะโย่ง และธิดาองค์อื่นๆ แสดงเป็นนางรำ ส่วนตูระเองแสดงเป็นพรานและทำหน้าที่เป็นนายโรง วิธีการละเล่น มะโย่งเป็นการแสดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้วเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชาวไทยมุสลิมในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ และได้อธิบายเพิ่มเติม โดยกล่าวถึงที่มาของคำว่า มะโย่ง คำว่า มะหรือเมาะ แปลว่า แม่ ส่วนโย่งหรือโยงเป็นพระนามของเจ้าหญิงพระองค์หนึ่งแห่งชวา จึงชวนให้สันนิษฐานต่อไปได้ว่า เหตุที่เรียกละครประเภทนี้ว่า มะโย่ง อาจเป็นตัวพระ จึงเรียกกันโดยใช้คำว่า มะ หรือ เมาะนำหน้า เครื่องดนตรี นิยมใช้กันอยู่ 5 ชนิด คือ 1. รือบะ หรือรือบับ คล้ายซอสามสายของไทย จำนวน 1 - 2 คน 2. กึนดึงมลายู หรือกลองมาลายู หรือกลองแขก 3 หน้า จำนวน 2 ใบ 3. ฆ้องใหญ่เสียงทุ้มแหลมอย่างละใบ 4. กอเลาะ(กรับ) จำนวน 1 คู่ 5. จือแระ หรือกรับ จำนวน 3 - 4 อัน (จือแระทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ 16–18 นิ้วใช้ตี) ผู้แสดง เนื่องจากมะโย่งแสดงเป็นเรื่องจึงมีตัวละครประกอบด้วย มะโย่งคณะหนึ่งๆ มีคนประมาณ 20 - 30 คน เป็นลูกคู่เล่นดนตรี 5 - 7 คน นอกนั้นเป็นผู้แสดงและเป็นผู้ช่วยผู้แสดงบ้าง ผู้แสดงหรือตัวละครสำคัญมี 4 ตัว คือ 1. ปะโย่งหรือเปาะโย่ง แสดงเป็นพระเอก มีฐานะเป็นกษัตริย์หรือเจ้านาย ตัวปะโย่งจะใช้ผู้หญิงร่างแบบบางหน้าตาสะสวย มีเสน่ห์ ขับกล่อมเก่ง น้ำเสียงดี เป็นผู้แสดงหรือเป็นตัวชูโรง 2. มะโย่งหรือเมาะโย่ง แสดงเป็นนางเอก มีฐานะเป็นเจ้าหญิงหรือสาวชาวบ้านธรรมดาตามแต่เนื้อเรื่องที่แสดง ใช้ผู้หญิงร่างแบบบาง หน้าตาดีเป็นผู้แสดง 3. ปือรันมูดอ แสดงเป็นตัวตลกตัวที่ 1 มีฐานะเสนาคนสนิทหรือคนใช้ใกล้ชิดของปะโย่ง ใช้ผู้ชายหน้าตาท่าทางน่าขบขันชวนหัว เป็นผู้แสดง ปือรันมูดอ จะพูดจาตลกคะนอง สองแง่สองมุม ฉลาดทันคน กล้าหาญ แต่บางครั้งโงทึบและขลาดกลัว ตาขาว 4. ปือรันดูวอ หรือพราน แสดงเป็นตัวตลกตัวที่ 2 มีฐานะเป็นเสนาคนสนิทตัวรองของเปาะโย่ง เป็นเพื่อสนิทของปือรันมูดอ จะเป็นตัวที่คอยสนับสนุนให้ปือรันมูดอสามารถตลกจี้เส้นได้มากขึ้น 5. ปะโย่งมูดา พระเอกของเรื่องเป็นโอรสของปะโย่ง 6. ปูตรีมะโย่ง นางเอกของเรื่องรับบทเป็นเจ้าหญิง พระธิดา 7. ดายัง เป็นตัวประกอบฝ่ายหญิง เป็นนางข้าหลวง เป็นนางรำและนักร้องประสานเสียง ให้คณะดนตรีประกอบการแสดง โรงหรือเวทีแสดง ปัจจุบันโรงมะโย่งปลูกเป็นเพิงหมาแหงน ยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร กว้าง 5 - 6เมตร ยาว 8 - 10 เมตร จากท้ายโรงประมาณ 1 - 2 เมตร จะกั้นฝา 3 ด้าน คือ ด้านท้ายกับด้านข้างทั้งสองด้านหน้าใช้ฉากปิดกั้นให้มีช่องออกหน้าโรงได้ เนื้อที่ด้านท้ายโรงใช้เป็นที่แต่งกายเก็บของและพักผ่อนนอนหลับด้านหน้าโรงเป็นโล่งทั้ง 3 ด้าน จากพื้นถึงหลังคาด้านหน้าสูงประมาณ 3.5 เมตร ชายหลังด้านหน้านี้จะมีระบายป้ายชื่อคณะอย่างโรงลิเกหรือโนรา ส่วนใต้ถุนโรงใช้เป็นที่พักหลับนอนไปด้วย โอกาสที่แสดง มะโย่งจะแสดงในงานเฉลิมฉลองงานเทศกาลหรืองานรื่นเริงอื่นๆ ตามที่เจ้างานรับไปแสดงปกติแสดงในเวลากลางคืนโดยเริ่มแสดงราว 19 นาฬิกา เลิกเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ก่อนการแสดงจะมีการร่ายหรือกล่าวกลอนเพื่อและไหว้ครูตามธรรมเนียม แล้วเริ่มเรื่องการแสดงในรูปแบบจักรๆ วงศ์ๆ ใช้คนเล่นตั้งแต่ 10 - 20 คน ให้ความสำคัญกับตัวพระเอกและนางเอกของเรื่อง ในการดำเนินเรื่อง การแสดงเมาะโย่งจังหวัดปัตตานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลเจ้าเกล้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) นักบรรเลงเครื่องดนตรีประกอบมะโย่ง ที่มาภาพ : หน้า 5933 (มะโย่ง). สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่มที่ 12 การแต่งกายของตัวเอกในเรื่องที่ทรงเครื่องสวยงามกว่าตัวรอง ที่มาภาพ : หน้า 5933 (มะโย่ง). สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่มที่ 12 การแสดงสาธิตมะโย่งที่ศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2526 ที่มาภาพ : หน้า 5934 (มะโย่ง). สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่มที่ 12 นับแต่สมัยอดีตกระทั่งถึงปัจจุบันการแสดงเมาะโย่งอันเป็นการแสดงของชนชาวถิ่นมลายู โดยเฉพาะในชายแดนสามจังหวัดใต้ของไทย กำลังจะเลือนหายจากไปซึ่งเป็นวัฒนธรรม การเเสดงของท้องถิ่นมลายูในภาคใต้ที่บรรพบุรุษได้สั่งสมมาให้ แต่แล้วความเป็นปัญหาในหลายๆ ด้านที่ส่งผลกระทบต่อวิถีและวัฒนธรรมของท้องถิ่นต้องมาเป็นอุปสรรคในการก้าวเดินของวัฒนธรรมการเเสดงเมาะโย่งนี้ จนกล่าวได้ว่าเมาะโย่งกำลังจะล้มหายจากสังคมแห่งมลายูในภาคใต้ของไทยไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เครื่องแต่งกาย ตัวปะโย่งและปะโย่งมูดา จะนุ่งกางเกงทรงหลวม สวมเสื้อแขนสั้น เสื้อรัดรูป ไม่มีปก มีผ้าผืนยาวขนาดผ้าขาวม้าสวมทับเสื้อ และกางเกงอีกชั้นหนึ่ง สวมมงกุฎ ถือมีดหวายเป็นอาวุธเพื่อการทำโทษมิใช่เพื่อการต่อสู้ มีดหวายใช้ฟาดตัวตลกในเชิงหยอกล้อมากกว่าจริงจัง มะโย่งและปูตรีมะโย่ง สวมเสื้อตามแบบอย่างของสตรีมลายู คือสวมเสื้อกือบายา นุ่งผ้าถุงที่เรียกว่าผ้าซงกิต สวมเครื่องประดับสตรีครบชุด ทรงผมเกล้ามวย มีผ้าสไบคาดบ่า นักแสดงประกอบฝ่ายหญิง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าตามแบบอย่างสตรีมลายูทั่วไป เช่นเดียวกับตัวตลกหรือตัวพราน นุ่งกางเกง หรือโสร่ง มีผ้าคาดเอว เหน็บมีดคลกที่เอว สมัยก่อนสวมหน้ากาก แต่ปัจจุบันไม่นิยม นิทานที่ใช้แสดง ต้นตำรับเดิมใช้เรื่อง ราฌามูดา ต่อมามีเรื่องเอนๆ ที่นิยมมากคือเรื่อง ฆนดังอึมมัส หรือ สังข์ทอง ปูตรีตี มุนมูดา หรือเจ้าหญิงแตงอ่อน เมื่อมะโย่งมากลายเป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ก็ยังคงนิทานแบบจักรๆ วงศ์ๆ แบบเดิม บางเรื่องใช้เวลาแสดง 3 วัน 3 คืน ติดต่อกันกว่าจะจบเรื่อง หลายปีมานี้การละเล่นมะโย่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการละเล่นที่ขัดกับหลักคำสอนในศาสนาอิสลาม ทำให้นักวิชาการและนักวัฒนธรรมของประเทศมาเลเซียต้องจัดการสัมมนาทางวิชาการเพื่อหาข้อพิสูจน์เรื่องนี้ คำกล่าวหาลักษณะนี้เกิดขึ้นบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย แต่ไม่รุนแรงเท่ากับในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แต่มีผลทำให้ชาวบ้านไม่กล้าจัดงานแสดงหรืองานการละเล่นภายในหมู่บ้านหรืออำเภอ การแสดงมะโย่งทุกวันนี้จึงไม่มีการป่าวประกาศให้ทราบว่าจะมีการจัดแสดง อยู่ในสภาพหลบๆ ซ่อนๆ และที่แสดงอย่างเปิดเผยจะเป็นรูปแบบการแสดงสาธิตให้ชม ปัญหาการสื่อสารด้วยภาษามลายูถิ่นปัตตานี ซึ่งคล้ายกับภาษาถิ่นกลันตัน ทำให้ผู้ชมถูกจำกัดวงแคบ ขาดการอุปถัมภ์จากสังคมใหญ่ คณะนักแสดงจึงไม่เห็นความสำคัญ ที่จะถ่ายทอดการเล่นมะโย่งสู่รุ่นลูกหลาน อุปกรณ์สำคัญต่างๆ ในการแสดง “มะโย่ง” จากงานจัดแสดงเรื่อง “มะโย่ง การประชัน อัตลักษณ์ในภูมิภาคมลายู” ของกลุ่มวิจัยความขัดแย้งและพหุวัฒนธรรม ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร งานจัดแสดงเล็กๆ ด้วยเสียงและข้าวของสำคัญเกี่ยวกับ “มะโย่ง” ซึ่งจัดเป็นครั้งแรก ที่บริเวณทางเข้าศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เป็นประเด็นความรู้ทางวัฒนธรรมอุษาคเนย์ส่วนหนึ่งของการศึกษาจากกลุ่มวิจัยความขัดแย้งและพหุวัฒนธรรม ที่ต้องการเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้มาใช้บริการของศูนย์ฯ ให้ทราบมากขึ้น มีคำอธิบายเกี่ยวกับความเป็นมาของมะโย่งที่น่าสนใจขออนุญาตคัดมาสั้นๆ ดังนี้ “แม้ในปัจจุบันข้อถกเถียงในเรื่องต้นกำเนิดของมะโย่งยังไม่ปรากฏข้อสรุป แต่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า มะโย่ง (Mak Yong) คือ ศิลปะการร่ายรำพื้นบ้านมลายูประเภทหนึ่ง ซึ่งแพร่หลายทั่วไปในภูมิภาคมลายู (Melayu Nusantara) ครอบคลุมอาณาเขตตั้งแต่บริเวณภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ มะโย่งยังมีความเกี่ยวข้องกับการรำ มะโนราห์ในไทยและระบำหน้ากากในอินโดนีเซีย มะโย่ง ในภาษามลายูท้องถิ่นเรียกว่า “เมาะโย่ง” โดยมีที่มาจากคำว่า “มะฮีอัง” (Mak Hiang) ซึ่งหมายถึง แม่โพสพ นักวิชาการท้องถิ่นหลายท่านจึงมีความเชื่อว่ามะโย่งเป็นการละเล่นในสังคมเกษตรซึ่งมักมีการบูชาแม่โพสพหรือขวัญข้าว (Semangat padi) ขณะที่ในทัศนะของคนมลายูโดยทั่วไป มะโย่งเป็นทั้งการร่ายรำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหนือธรรมชาติควบคู่ไปกับความบันเทิง” มะโย่งเป็นการละเล่นที่นิยมแพร่หลายนับตั้งแต่ การละเล่นเพื่อความบันเทิง, แก้สะเดาะเคราะห์เนื่องจากถูกเวทมนต์หรือวิญญาณกระทำ, บนบานขอให้มีบุตร, บูชาครู, การเข้าทรง, การรักษาโรค ฯลฯ Ghulam-Sarwar Yousof นักวิชาการมาเลเซีย ก็กล่าวถึงมะโย่งว่า พัฒนามาจากความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติหรือผี แต่เดิมแสดงโดยใช้ผู้หญิงเท่านั้น เป็นการแสดงทางพิธีกรรมที่มีความซับซ้อนมากกว่าแค่เพื่อความบันเทิง ผสมผสานระหว่างการทรงเจ้าเข้าผี, การเลี้ยงผี และการร่ายรำ สะท้อนให้เห็นในเนื้อเรื่องของมะโย่งที่มีประเด็นหลักเกี่ยวกับเวทมนต์ และมีเป้าหมายดั้งเดิมเพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องเชื่อมโยงยังโลกของวิญญาณหรือที่สิงสถิตของอำนาจเหนือธรรมชาติ พื้นฐาน การแสดงการละเล่นในวัฒนธรรมของคนส่วนใหญ่มาจากพิธีกรรมสื่อสารถึงผี เพื่อขอความอุดมสมบูรณ์, ความสงบร่มเย็น, อยู่รอดปลอดภัยไร้โรค หรืออะไรต่างๆ ที่คนคิดว่าผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติมีอำนาจควบคุมให้ดีร้าย แล้วค่อยๆ ซับซ้อนขึ้นตามสังคมและศาสนาใหม่ จนมีระเบียบแบบแผนเป็นการแสดงเพื่อความบันเทิงไปด้วยอย่างหนึ่ง แต่ยังมีบทบาทของความศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนอยู่ในประเพณีพิธีกรรมวัฒนธรรมพื้นบ้านท้องถิ่น เช่นเดียวกันกับ มะโย่ง การแสดงซึ่งแพร่หลายในบริเวณคาบสมุทรมลายู ที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม จึงอาจดูขัดกับหลักศาสนาอิสลามเพราะอิงกับศาสนาผีที่มีมาอยู่ก่อนนานแล้วของผู้คนในท้องถิ่น การแสดงมะโย่งของมาเลเซีย นอกจากนี้นักวิชาการยังกล่าวถึง มะโย่ง เป็นศิลปะการแสดงประเภทการแสดงละครที่ปรากฏในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย และประเทศอินโดนีเซีย เป็นศิลปะที่แสดงเรื่องราวโดยมีการขับร้อง การร่ายรำและมีดนตรีบรรเลงประกอบการแสดง การแสดง มะโย่งเป็นการแสดง 2 รูปแบบคือการแสดงเพื่อความบันเทิงและการแสดงเพื่อพิธีกรรม โดยมีปรากฏมายาวนานกว่า 400 ปี โดยเป็นการแสดงที่ใช้ผู้หญิงเป็นตัวเอก ทั้งพระเอกและนางเอก ส่วนตัวตลกใช้ผู้ชาย เรื่องที่ใช้ในการแสดงจะเป็นเรื่องราวของกษัตริย์ ส่วนการแต่งกายจะเน้นไปที่ตัวละครตัวเอก ส่วนตัวประกอบจะแต่งแบบในชีวิตประจำวัน ไม่สวมถุงเท้าและรองเท้า เครื่องดนตรีที่สำคัญคือรือบับหรือที่เรียกว่าซอสามสาย ฆ้อง กลองมลายู ซือแระและกอแระ (ไม้กรับ) ที่มา Rahimidin Zahari and Sutung Umar RS. (2011). Mak Yung : The Mystical Heritange. pp. 4,7 ที่มา http://th.wikipedia.org ที่มา เฉลิม มากนวล. ลักษณะไทย ศิลปะการแสดง การแสดงมะโย่งแบบพิธีกรรม การแสดงมะโย่งแบบบันเทิง บางกระแสก็เชื่อกันว่าการแสดงมะโย่งในสมัยปัตตานีเป็นรัฐมลายู เป็นการแสดงละครมลายูสำหรับกษัตริย์และเจ้านายระดับสูง เป็นการแสดงที่โปรดปรานของกษัตริย์ปัตตานี และสันนิษฐานว่าเกิดในดินแดนแห่งนี้ราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเข้าสู่รัฐกลันตันซึ่งต่อมาก็ได้รับความนิยมอย่าง เท่าเทียมกัน มะโย่งในยุคนี้เล่นในพระราชวังมีมาตรฐานสูงมีความเป็นเลิศในด้านความประณีต งดงามในราชสำนักปัตตานีและกลันตัน ต่อมามีการยกเลิกอุปถัมภ์ การแสดงมะโย่งจึงเป็นที่นิยมของชาวบ้านในชนบททางชายฝั่งตะวันออกของรัฐกลันตันและตรังกานู ประเทศมาเลเซีย และในจังหวัดปัตตานี ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีปรากฏในชนบทของหมู่เกาะเมดาน (Madan) และหมู่เกาะ เรียวลิงกะอินโด (Riau Langga) และในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักแสดงและนักดนตรีมีจำนวนที่ลดลงมาก ได้ปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2155 สมัยพระนางเจ้าฮีเณาเจ้าเมืองปัตตานีได้เชิญ ชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ ฟลอเรส (Peter Flores) ให้ไปร่วมเป็นเกียรติในงานเลี้ยงต้อนรับสุลต่านรัฐปาหัง งานดังกล่าวปีเตอร์ไม่ได้ระบุว่าเป็นการแสดงมะโย่ง เพียงแต่เล่าว่า มีการละเล่นอย่างหนึ่ง ลักษณะการแสดงคล้ายๆ นาฏศิลป์ชวา ผู้แสดงแต่งกายแปลกน่าดูมาก จึงมีผู้สันนิษฐานว่าศิลปะ ดังกล่าวคือมะโย่ง ซึ่งส่วนใหญ่จัดแสดงในงานเพื่อให้อาคันตุกะได้ชม ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการแสดงที่เกิดจากในวังปัตตานี เป็นครั้งแรกแล้วจากนั้นแพร่หลายไปทางกลันตัน มะโย่งถือเป็นการแสดงที่ได้รับอิทธิพลมาจากชวาตั้งแต่ครั้งโบราณ แล้วเป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวมลายูในบริเวณจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำว่ามะโย่ง มาจากคำว่า มะ หรือเมาะ แปลว่าแม่ ส่วนโย่งหรือโยง เป็นพระนามของเจ้าหญิงแห่งชวา จึงสันนิษฐานว่า อาจเนื่องจากละครที่เจ้าหญิงทรงคิดขึ้นเป็นครั้งแรกและใช้ผู้หญิงแสดง ในทางประวัติศาสตร์ของอาณาจักรปัตตานี ประเทศมาเลเซียและประเทศอินโดนีเซีย สรุปได้ว่า มะโย่งเป็นศิลปะการละครรำมลายูที่ไม่อาจระบุให้ชัดเจนได้ว่าเป็นวัฒนธรรมหลวงหรือวัฒนธรรมราษฎร์ สเวเตนแฮม (Sweetenham) เชื่อว่ามะโย่งไม่ได้มีกำเนิดมาจากราชสำนัก และการแสดง มะโย่งมีขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 สำหรับหลักฐานที่มีอยู่ในปัตตานีปัจจุบันเป็นเพียงคำบอกเล่าจากคณะมะโย่ง ซึ่งเชื่อว่ามะโย่งกำเนิดจากเกาะชวาโดยชนเผ่าบาตั๊กปูเต็ฮ (Batak Putih) บ้างก็เชื่อว่าเกิดที่เมืองปาเล็มบัง ไม่มีมะโย่งคณะใดเชื่อว่าเกิดในอาณาจักรปัตตานี นอกจากนี้มะโย่งมาจากคำว่า“มัคฮียัง” (Mak-Hiang) แปลว่า แม่โพสพตรงกับชื่อของแม่โพสพของชาวฮินดู-ชวา ว่า เทวีศรี (Dewi Seri) สมัยโบราณชาวมลายูทำขวัญข้าวในนาอย่างชาวนาไทย บุคคลที่ขาดไม่ได้คือบอร์มอหรือพ่อหมอ ซึ่งหมายถึง หมอผีผู้ทรงวิญญาณเจ้าแม่ เพื่อขอความสวัสดิมงคล ขณะเดียวกันก็มีการร้องรำบวงสรวง ต่อมาภายหลังเป็นการแสดงของชาวบ้านแสดงเป็นเรื่องราว มีการร้องรำและมีดนตรีประกอบ ซึ่งภายหลังได้วิวัฒนาการมาเป็นละครเรียกว่า มะโย่ง ทำให้สันนิษฐานว่ามะโย่งเป็นการละเล่นที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีกรรมบูชาธรรมชาติ เป็นการบูชาแม่โพสพหรือบูชาขวัญข้าว นอกจากนี้ มะโย่งมีกำเนิดจากลัทธิความเชื่อในภูตผีวิญญาณ และแนวทางการรักษาโรคด้วยวิธีทางไสยศาสตร์ เพราะพบว่ามีผู้ว่าจ้างคณะมะโย่งไปแสดงเพื่อการรักษาโรคของผู้ป่วย วิวัฒนาการการแสดงมะโย่ง การแสดงมะโย่งได้ปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2155 สมัยพระนางเจ้าฮีเณา เจ้าเมืองปัตตานีได้เชิญชาวยุโรปคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ ฟลอเรส (Peter Flores) ให้ไปร่วมเป็นเกียรติในงานเลี้ยงต้อนรับสุลต่านรัฐปาหัง การแสดงมะโย่งในสมัยก่อนปี พ.ศ. 2500 ได้รับความนิยมมาก มีผู้คนติดต่อให้ไปแสดงตามงานบุญ งานรื่นเริงต่างๆ แม้แต่ช่วงปี พ.ศ. 2509 – 2515 คนในชุมชนต่างชื่นชอบการแสดงมะโย่ง การชมมะโย่งถือเป็นการพักผ่อนหลังจากทำงานมาทั้งวัน และหน้าโรงมะโย่งยังเป็นจุดนัดพบของหนุ่มสาว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งงาน แต่หลังจากปี พ.ศ. 2517 การแสดงมะโย่งได้เลิกการแสดงเนื่องจากประชาชน ชุมชน เลิกชมการแสดง เพราะเกิดข้อรังเกียจในการเต้นกินรำกิน โดยเฉพาะนักแสดงผู้หญิงเลิกการแสดงกลับไปทำนา กรีดยาง นอกจากนี้ ชาวบ้านศึกษาศาสนาและให้ความสำคัญกับศาสนามากขึ้น และสื่อโทรทัศน์มีแพร่หลายมากขึ้นทำให้น่าสนใจมากกว่าการแสดงมะโย่ง ส่งผลให้มะโย่งขาดรายได้และเลิกการแสดงในที่สุด การแสดงมะโย่งในปัจจุบัน คณะมะโย่งมีจำนวนน้อยลงมาก เพราะมิได้มีการปรับเปลี่ยน การแสดงให้เข้ากับยุคสมัย เท่าที่มีการแสดงมักเป็นการรักษาโรคที่ถือว่าเป็นโรคทางจิตที่ผู้ป่วยรักษาด้วยแพทย์ปัจจุบันไม่หายขาด จึงจำเป็นต้องจ้างคณะมะโย่งไปรักษา ดังนั้นคณะมะโย่งที่มุ่งการรักษาโรคจะไม่มีชื่อคณะ ส่วนมะโย่งที่แสดงในลักษณะเพื่อความบันเทิง ซึ่งมีไม่ค่อยมากคณะเหล่านี้มักมีชื่อคณะ ส่วนมากมักแสดงโชว์โดยทางหน่วยงานของภาครัฐและเอกชนเชิญไปแสดงในเขตพื้นที่ต่างๆ ซึ่งการแสดงแบบนี้มักจะตัดทอนบางช่วงของการแสดง โดยมากมักตัดส่วนของการแสดงเป็นเรื่องราวออกเพราะการแสดงเป็นเรื่องต้องใช้เวลานานมากขั้นต่ำถึง 3 ชั่วโมง หรือไม่ก็ปรับเวลาให้สั้นลง เพื่อไม่ทำให้คนดูเบื่อหน่ายมาก ทั้งนี้ผู้ชมที่เป็นเยาวชนรุ่นใหม่กลับมองว่ามะโย่งเป็นการแสดงขัดศาสนาเพราะดนตรีที่ใช้ในศาสนามีเพียงกลองเท่านั้นที่ไม่ขัดหลักศาสนา วิวัฒนาการด้านการแต่งกาย การแต่งกายของนักแสดงจะแตกต่างกันไปตามบทบาทที่ได้รับของตัวละคร ส่วนใหญ่จะเน้นการแต่งกายของเปาะโย่งเป็นสำคัญ ทั้งนี้มีการสวมมงกุฎเพื่อบ่งบอกฐานะกษัตริย์ โดยเริ่มแรกจะสวมมงกุฎแบบวงแหวน ต่อมาพัฒนามาเป็นมงกุฎวงแหวนเพิ่มยอดแหลม ส่วนการแต่งกายแต่งแบบ อัตลักษณ์ของชาวไทยเชื้อสายมลายู ซึ่งในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้แสดงเปาะโย่งจะสวมเสื้อในนางทับด้วยกรองคอ ต่อมาหลังสงครามโลกก็ได้มีการปรับเปลี่ยนมาสวมเสื้อแขนสั้น กางเกงขายาว นุ่งโสร่งทับกางเกงอีกชั้น รัดเข็มขัด เหน็บกริช ส่วนนักแสดงมะโย่งจะสวมเสื้อกือบายา บางคณะสวมกะบายาบานง ลักษณะทั่วไปของเสื้อจะเป็นเสื้อรัดรูปแขนยาว นุ่งคู่กับผ้าปาเต๊ะหรือผ้าซากิตยาว กรอมเท้า สำหรับนักแสดงดายัง-ดายัง จะแต่งกายคล้ายๆ มะโย่งแต่เรียบง่ายกว่า คือเนื้อผ้าธรรมดา นอกจากนี้ การแต่งกายของตัวตลกในอดีตเริ่มจากการไม่สวมเสื้อ สวมหน้ากาก ต่อมาจะแต่งตัวแบบชายไทยเชื้อสายมลายูทั่วไป คือไม่สวมหน้ากาก นุ่งโสร่ง สวมเสื้อแขนสั้นและสวมเสื้อกั๊กทับ บางคนมีผ้าพาดไหล่ และบางคนใช้ผ้าพันศีรษะ สำหรับการแต่งกายของนักดนตรี มักแต่งแบบเรียบง่าย ส่วนมากเป็นชุดที่สวมใส่ในชีวิตประจำวัน การแต่งกายในปัจจุบัน ยังคงยึดรูปแบบการแต่งกายจากอดีต เน้นการแต่งกายของเปาะโย่งเป็นสำคัญ โดยแต่งชุดสลีแน ประกอบด้วยเสื้อแขนสั้น กางเกงขายาว และผ้าโสร่งคาดทับ ส่วนกรองคอและมงกุฎมีการตกแต่งให้สวยงามขึ้น โดยเฉพาะมงกุฎมีการปักเลื่อมและติดพู่ไหมเล็กๆ รอบมงกุฎ ในการแสดงมะโย่งแบบพิธีกรรม การแต่งกายของดายัง-ดายัง จะแต่งแบบชีวิตประจำวัน เน้นความเรียบง่าย คือสวมเสื้อยืด กางเกงขายาว ผ้าคลุมศีรษะ การแต่งกายของตัวตลกจะแต่งแบบชีวิตประจำวัน คือสวมเสื้อยืด หรือเสื้อเชิ้ต กางเกง ขายาว ผ้าพาดไหล่ สำหรับการแต่งกายของนักดนตรี มักแต่งแบบสวมใส่ในชีวิตประจำวัน คือ สวมเสื้อยืด หรือเสื้อเชิ้ต สวมเสื้อวอร์มแขนยาว กางเกงขายาว สำหรับการแสดงมะโย่งแบบบันเทิง มักเน้นการแต่งกายที่สวยงามของตัวแสดงอื่นๆ แม้กระทั่งนักดนตรี อาทิ มะโย่ง จะสวมใส่ชุดพื้นเมืองบานง พราน จะแต่งกายแบบชายมลายูคือสวมชุดสลีแนและผ้าคลุมศีรษะ นักดนตรีจะใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และสวมหมวกหรือใช้ผ้าโพกศีรษะ ทั้งนี้ สิ่งที่นักแสดงทุกคนไม่ว่าจะเป็นการแสดงมะโย่งแบบพิธีกรรมหรือแบบบันเทิงมีลักษณะรูปแบบเดียวกันคือไม่มีสวมรองเท้าและถุงเท้าเมื่อทำการแสดง วิวัฒนาการด้านเครื่องดนตรีและเพลง เครื่องดนตรีและเพลงในอดีตมีจำนวนเครื่องดนตรีแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนักดนตรีของแต่ละคณะ โดยมากจะประกอบด้วยรือบับ กือแน 1 คู่ ฆ้อง 1 คู่ กรับหรือแตระ และปี่ สำหรับเพลงที่ใช้จะมีทั้งเพลงดำเนินเรื่อง คือมีเนื้อร้องบรรยายเป็นเรื่องราว และเพลงประกอบเรื่องซึ่งเป็นเพลงที่สามารถตัดออกได้ เพลงส่วนใหญ่ผู้หญิงเป็นผู้ร้อง ส่วนตัวตลกจะร้องประมาณ 2-3 เพลง ผู้ร้องจะเปล่งเสียงออกมาอย่างเต็มที่ ส่วนดนตรีบรรเลงคลอตาม เครื่องดนตรีและเพลงในปัจจุบัน ยังคงยึดรูปแบบดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง สำหรับคณะ การแสดงแบบพิธีกรรม จะมีติ่งซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ทางคณะเชื่อว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จำเป็นต้องนำไปแสดงทุกครั้ง นอกจากนี้เครื่องดนตรีของมะโย่งถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการทำพิธีไหว้ครู โดยบอร์มอจะต้องทำพิธีรือบับ ปี่ และกือแน ก่อนแล้วจึงมอบนักดนตรีเพื่อบรรเลง หากเครื่องดนตรีชิ้นใดไม่มีผู้บรรเลงก็ต้องวางไว้กับเครื่องเซ่น รูปแบบบันเทิงนั้นเครื่องดนตรีบรรเลงการแสดงมะโย่งยังคงยึดปฏิบัติดั้งเดิม แต่มีการนำเอาเครื่องดนตรีโนราเข้ามาใช้ในการแสดงช่วงตารีรากำ โดยผู้บรรเลงรือบับจะเป่าปี่ ผู้ตีอีบูกือแนจะตีกลองตุ๊ก และผู้ที่ตีอาเนาะกือแนจะตีทับ เมื่อบรรเลงช่วงตารีรากำจบทั้งสามคนก็กลับมาบรรเลงเครื่องดนตรีมะโย่งเหมือนเดิม ในส่วนประกอบพิธีไหว้ครูไม่มีการนำเครื่องดนตรีไปทำพิธีมีเพียง การมอบเทียนให้ไปติดที่ขาของฆ้องเท่านั้นรูปแบบบันเทิงนั้นเครื่องดนตรีบรรเลงการแสดงมะโย่งยังคงยึดปฏิบัติดั้งเดิม แต่มีการนำเอาเครื่องดนตรีโนราเข้ามาใช้ในการแสดงช่วงตารีรากำ โดย ผู้บรรเลงรือบับจะเป่าปี่ ผู้ตีอีบูกือแนจะตีกลองตุ๊ก และผู้ที่ตีอาเนาะกือแนจะตีทับ เมื่อบรรเลงช่วง ตารีรากำจบทั้งสามคนก็กลับมาบรรเลงเครื่องดนตรีมะโย่งเหมือนเดิม ในส่วนประกอบพิธีไหว้ครูไม่มีการนำเครื่องดนตรีไปทำพิธีมีเพียงการมอบเทียนให้ไปติดที่ขาของฆ้องเท่านั้น องค์ประกอบการแสดง ผู้แสดง นักแสดงชาย 2 คน นักแสดงหญิง 4 คน นักดนตรี 7 คน การแต่งกาย มงกุฎ (ชุดแต่งกายนักแสดง / เปาะโย่ง) เสื้อ,ลา (ชุดแต่งกายนักแสดง / เปาะโย่ง) เข็มขัด (ชุดแต่งกายนักแสดง / เปาะโย่ง) ผ้านุ่ง (ชุดแต่งกายนักแสดง / เปาะโย่ง) กางเกง (ชุดแต่งกายนักแสดง / เปาะโย่ง) อาวุธ (ชุดแต่งกายนักแสดง / เปาะโย่ง) ศีรษะ (ชุดแต่งกายนักแสดง / มะโย่งและปูตรีมะโย่ง) เสื้อ,สไบ (ชุดแต่งกายนักแสดง / มะโย่งและปูตรีมะโย่ง) ผ้านุ่ง (ชุดแต่งกายนักแสดง / มะโย่งและปูตรีมะโย่ง) ศีรษะ (ชุดแต่งกายนักแสดง / พรานหนุ่ม/พรานแก่) เสื้อ (ชุดแต่งกายนักแสดง / พรานหนุ่ม/พรานแก่) ผ้านุ่ง (ชุดแต่งกายนักแสดง / พรานหนุ่ม/พรานแก่) กางเกง (ชุดแต่งกายนักแสดง / พรานหนุ่ม/พรานแก่) อาวุธ (ชุดแต่งกายนักแสดง / พรานหนุ่ม/พรานแก่) เครื่องดนตรี กลองทน (เครื่องตี : เครื่องดนตรีพื้นบ้าน) โหม่ง (เครื่องตี : เครื่องดนตรีพื้นบ้าน) รือบับ (เครื่องสี : เครื่องดนตรีพื้นบ้าน) ฆ้อง (เครื่องตี : เครื่องดนตรีพื้นบ้าน) การแต่งกายสำหรับการแสดงมะโย่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้วัฒนธรรมมะโย่งของคนมลายูนี้กำลังจะสูญหายไปเนื่องจากไม่ได้รับ การอนุรักษ์จากผู้คนบางกลุ่ม แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังสนใจและอนุรักษ์ไว้อยู่ เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังได้ศึกษาวัฒนธรรม มะโย่งนี้ของคนมลายูสืบไป แนวคิด ปัจจุบันมะโย่งหรือหมาโย่ง เป็นการส่งเสริมการละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่งของชาวไทยมุสลิม มีลีลาการแสดงคล้ายคลึงกับโนรามาก แสดงเพื่อความบันเทิงและเพื่อใช้บนหรือสะเดาะเคราะห์เนื่องจากถูกเวทมนต์คาถาหรือถูกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กระทำ ทั้งนี้โดยการแนะนำของ "มะตือรี" (การทรงเจ้า) บางครั้งก็มีการเล่นใช้บนธรรมดา เช่น การขอมีบุตรชาย บุตรหญิง เล่นบูชาครูศิลปินประจำปี เป็นต้น บรรณานุกรม ประพนธ์ เรืองณรงค์. 2527. สมบัติไทยมุสลิมภาคใต้. หน้า 85 คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ. 2542. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดปัตตานี. หน้า 106-178 นูรียัน สาและ. 2542. สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้. หน้า 5934-5935 เฉลิม มากนวล. 2551. ลักษณะไทย ศิลปะการแสดง. Zainal Abiddin Tinggal. 1998. The Dance of Asian. pp. 104 Wendy Moore. 1998. West Malaysia and Singapore. pp. 126-127 Patrician Ann Matusky ; Sooi Beng. 2004. The Music of Malaysia : The Classical Folk and Syncretic Traditions. p. 35 |
| เอกสารเพิ่มเติม |
ดาวน์โหลด |
เรามีการใช้คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหรือเพื่อการทำงานของเว็บไซต์และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายแนวปฎิบัติการใช้คุกกี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ที่ Cookies Policy