| ชื่อการละเล่น | รองเง็ง |
|---|---|
| รายละเอียดการละเล่น | รองเง็ง ประวัติความเป็นมา รองเง็ง, รองแง็ง, หล้อแหง็ง, รองแง็งตันหยง หรือเพลงตันหยง ก็ว่าเป็นศิลปะการเต้นรำพื้นเมืองของไทยมุสลิม ที่มีความสวยงามทั้งลีลาการเคลื่อนไหวของเท้า มือ ลำตัว รวมทั้งความสง่างามทางด้านแต่งกายที่เหมาะสมกลมกลืนกับความไพเราะอ่อนหวานของท่วงทำนองเพลง และเป็นการละเล่นพื้นเมืองชนิดหนึ่งของชาวบ้านภาคใต้แถบฝั่งทะเลตะวันตก เช่น จังหวัดตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต การละเล่นเช่นนี้นิยมเล่นทั้งในหมู่ชาวไทยพุทธและไทยมุสลิม มีลักษณะผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมพื้นบ้านภาคใต้กับวัฒนธรรมพื้นบ้านของมลายูอย่างเห็นได้ชัด นิยมเล่นกันมาแต่โบราณจนกระทั้งปัจจุบัน ยากที่จะระบุได้ชัดว่าหล้อแหง็งเกิดเมื่อใด จากการสอบถามผู้รู้ พอสรุปความได้ว่า การละเล่นชนิดนี้สืบทอดมาอย่างน้อย 4- 5 ชั่วอายุคน คือไม่น้อยกว่า 200 ปี โดยได้รับแบบอย่างมาจาก “รองแง็ง” ทั้งท่าเต้นและทำนองเพลง เชื่อกันว่าศิลปะการแสดงรองเง็งได้รับแบบอย่างมาจากศิลปะการแสดง ทั้งท่าเต้นและทำนองจากการแสดงพื้นเมืองของชาวตะวันตก คือชาวสเปนหรือโปรตุเกสที่เข้ามาติดต่อทำการค้า อาจารย์นิยะปาร์ ระเด่นอาหมัด ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า “รองเง็ง” ของขุนจารุวิเศษศึกษากร ว่า รองเง็ง ไม่ใช่ภาษาในมาลายูและไม่ทราบว่าเป็นภาษาใด แต่สันนิษฐานว่าคงมาจากเสียงของเครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลง โดยกลองรำมะนาดัง ก็อง ก็อง และเสียงตีฆ้องเหล็กดัง แง็ง แง็ง ก็เลยเรียกการละเล่นนี้ว่าก็องแง็ง แต่คำว่าก็อง ในภาษามาลายูแปลว่าบ้าๆ บอๆ ซึ่งมีความหมายไม่เป็นมงคลนัก จึงแกล้งออกเสียงให้เพี้ยนไปเป็นรองแง็ง ประกอบกับลิ้นชาวมาลายูไม่สันทัดในการออกเสียงแอ จึงออกเสียงแง็ง เป็น เง็ง ก็เลยมีการเรียกว่า “รองเง็ง” ด้วย นอกจากนั้นขุนจารุวิเศษ ศึกษากร ยังกล่าวถึงความเป็นมาของรองเง็งว่า เมื่อพ่อค้าชาวโปรตุเกสได้เข้ามาติดต่อทำการค้าขายในแหลมมาลายู ราวพ.ศ. 2061 ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แห่งกรุงศรีอยุธยา พ่อค้าได้นำเอาแบบฉบับการเต้นรำของตนมาแสดงให้ชาวพื้นเมืองได้เห็นในวันขึ้นปีใหม่ โดยมีการจัดงาน รื่นเริงสังสรรค์และเต้นรำเป็นคู่ ชาวพื้นเมืองเห็นจึงเกิดความสนใจจึงพยามยามจดจำแบบอย่างและนำไปเต้นก็เลยวิวัฒนาการกลายมาเป็นรองเง็งจนทุกวันนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าจุดเริ่มต้นของรองเง็งนั้นมาจากที่ใด บ้างก็ว่ากำเนิดครั้งแรกที่มะละกา บ้างก็ว่าที่เมืองตรังกานู บ้างก็ว่าที่เมืองปัตตานี ทั้งนี้เพราะชาวโปรตุเกสเข้ามาตั้งหลักแหล่งค้าขายที่เมืองเหล่านี้ก่อน สำหรับประเทศไทย การแสดงรองเง็งคงมาจากการที่ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้รับสืบทอดมาจากมาเลเซีย อีกต่อหนึ่ง ทั้งนี้เพราะอยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมเดียวกันจึงสามารถสืบทอดศิลปะดังกล่าวนี้โดยไม่มีความขัดเขิน ศิลปะการเต้นรองเง็งในภาคใต้สมัยโบราณ การแสดงรองเง็งนิยมจัดเฉพาะในวัง และบ้านขุนนาง หรือเจ้าผู้ครองนครเท่านั้นใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงประมาณ พ.ศ. 2439 - 2449 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น ในวังของพระยาพิพิธเสนามาตยิบดี ศรีสุรสงคราม (เจ้าเมืองยะหริ่ง) หรือรายายะหริ่ง ให้หญิงสาวซึ่งเป็นข้าทาสบริพารฝึกการเต้นรองเง็งเพื่อต้อนรับแขกเหรื่อในงานรื่นเริงหรืองานพิธีต่างๆ เป็นประจำ ที่สังเกตประการหนึ่งว่าวัฒนธรรมมุสลิม แขกที่รับเชิญ ส่วนใหญ่เป็นแขกผู้ชายและเป็นผู้สูงศักดิ์ทั้งสิ้น เมื่อเสร็จงานเลี้ยงก็จะมีการรื่นเริงสนุกสนาน โดย การเต้นรองเง็ง ภายในงานผู้หญิงที่ไม่ใช่ผู้เต้นจะไม่มีโอกาสเข้ามาร่วมเพราะชาวมุสลิมไม่นิยมให้สตรีเข้าสังคมกับบุรุษเพศ ฉะนั้นนอกจากข้าทาสบริวารของเจ้าเมืองแล้ว ไม่มีผู้หญิงอื่นมีโอกาสเต้นรองเง็งมีเพียงแต่การนั่งดูและเต้นเท่านั้น ทำให้การเต้นรองเง็งในระยะแรกจึงนิยมกันเพียงวงแคบๆ แม้แต่ในมาลายูก็นิยมการเต้นรองเง็งกันน้อยมาก ต่อมาได้แพร่หลายออกไปสู่ชาวบ้านโดยผ่านการแสดงมะโย่งเมื่อมีการหยุดพักการแสดงประมาณ 10 - 15 นาที ก็นำเอาศิลปะการแสดงรองเง็ง หรือการเต้นรองเง็งออกมาแสดงเป็นรายการสลับฉาก ตัวมะโย่งหญิงจะร้องเชิญชวนให้ผู้ชมขึ้นไปร่วมเต้นรองเง็งด้วย ทำให้การเต้นรองเง็งกลายเป็นกิจกรรมที่สนุกสนานถูกใจชาวบ้านมากถึงกับมีผู้ตั้งคณะรองเง็งขึ้นมาในลักษณะของรำวง คือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ชมเต้นรำกับหญิงรองเง็งแล้วเก็บค่าเต้นด้วย จนบางครั้งการเต้นมุ่งแต่ความสนุกสนานและเงินรายได้ไม่รักษาแบบฉบับที่สวยงามซ้ำยังนำเอาจังหวะเต้นรำอื่นๆ เข้ามาเต้น เช่น รุมบ้าแซมบ้า ฯลฯ จนทำให้การเต้นรองเง็งแต่เดิมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ควรจึงทำให้การเต้นรองเง็งเสื่อมความนิยมไปชั่วระยะหนึ่ง ในปี พ.ศ. 2494 ได้มีการรื้อฟื้นรองเง็งขึ้นมาอีกครั้งโดยท่านขุนจารุวิเศษศึกษากร ศึกษาธิการอำเภอเมืองปัตตานีได้นำเพลงรองเง็งดั้งเดิม 2 เพลง คือ ลากูดูวอ และเมาะอินังชวา มาปรับปรุงท่าเต้นเพื่อใช้แสดงในงานปิดอบรมศึกษาภาคฤดูร้อนของคณะครูจังหวัด ทำให้การแสดงรองเง็งเป็นแปลกใหม่และได้รับความสนใจจากคนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาสมาคมสมางัด ของชาวมุสลิมในจังหวัดปัตตานี ได้นำเพลงจินตาซายัง ปูโจ๊ะปัซัง เลนัง ฯลฯ เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย จึงทำให้เพลงรองเง็งเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมี ผู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมประดิษฐ์ดัดแปลงท่าเต้นขึ้นมาใหม่ จากท่าเดินของหนังตะลุง และท่ารำของไทย ทำให้เพลงรองเง็งมีจำนวนเพลงทั้งหมด 13 เพลง สำหรับศิลปะการแสดงรองเง็งในแถบชายฝั่งทะเลแถบตะวันตก เล่ากันว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่ โดยมีชาวบ้านหัวแหลม ชื่อนางย่าเหรี้ยะ ย่าเล็น ได้ฝึกการรำและร้องเพลงมาจากปีนังและได้เผยแพร่ในหมู่เพื่อนฝูง ต่อมา นายหมานและนายหวัง กัวลามูดา มาช่วยเล่นดนตรีให้ จึงได้มีการฝึกหัดร้องและรำขึ้นเป็นครั้งแรก คือ นาย แปแนะ สะหมาน นายหมาดเดีย บุตรหมีน นายจัน ระเสยบุตร นางอิตำ นางติมา และนางไปต๊ะ เป็นต้น สำหรับการเข้ามาของศิลปะการแสดงรองเง็ง นั้นมีอยู่ 2 กระแส คือ กระแสที่ 1 มีความเห็นว่าอาจจะเข้ามาทางราชสำนักในบริเวณหัวเมืองมุสลิมภาคใต้ ภายหลังได้แพร่หลายไปสู่ประชาชนโดยผ่านทางการแสดงมะโย่ง และอีกกระแสหนึ่งกล่าวว่าศิลปะการแสดงรองเง็งที่เริ่มจากเกาะลันตา โดยได้รับมาจากปีนังโดยตรงเริ่มที่บ้านหัวแหลม อำเภอเกาะลันตา ญาติพี่น้องที่อยู่ในเมืองปีนังเป็นผู้นำมาแสดงเผยแพร่ ครั้งแรกๆ มีเพียงการร้องและรำเท่านั้น ยังไม่มีเครื่องดนตรีประกอบบทร้องเป็นภาษามาลายูยากแก่การเข้าใจ ภายหลังได้มีการปรับภาษาเนื้อร้องให้เป็นภาษาไทยพร้อมกับนำเอาเครื่องดนตรี ซอ และกลองรำมะนามาให้จังหวะในการเต้น จึงทำให้การเต้นและการร้องเพิ่มความสนุกสนานยิ่งขึ้น ศิลปะการแสดงนี้จึงแพร่กระจายไปในหมู่ชาวบ้านริมฝั่งทะเลตะวันตกอย่างรวดเร็วและเรียกการแสดงนี้ว่า “รองเง็งตันหยง” หรือ “ตันหยง” คงเป็นเพราะบทร้องโดยทั่วไปของศิลปะการแสดงชนิดนี้มักเริ่มด้วยคำว่า “ ตันหยง ตันหยง” อันหมายถึง การนำดอกไม้แต่ละชนิดมาเปรียบเทียบหรืออ้างถึงศิลปะการแสดงรองเง็ง ที่เข้ามาทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกของภาคใต้ มีลักษณะที่แตกต่างจากกับศิลปะการแสดงของมาลายูเกือบโดยสิ้นเชิง มีเพียงแต่ทำนองและและท่าเต้นเท่านั้นที่ยังคงลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะบทร้องเนื่องจากใช้ภาษาไทยจึงทำให้แตกต่างกันอย่างมาก ลักษณะกลอนที่ผูกขึ้นร้องโต้ตอบกันระหว่างนางรำกับชายคู่รำก็มักจะเป็นกลอนปฏิภาณมากกว่ากลอนที่ท่องจำกันต่อๆ มา รวมทั้งการแสดงไม่จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่คนไทยมุสลิม แต่ยังเป็นที่นิยมของชาวไทยพุทธในท้องถิ่นแถบนี้ด้วย เห็นได้จากการที่มีงานบวช หรืองานมงคลต่างๆ ชาวไทยพุทธนิยมรับคณะรองเง็งมาแสดงในงานอยู่เสมอนับว่าศิลปะการแสดงรองเง็ง หรือตันหยงเป็นการแสดงผสมผสานทางวัฒนธรรมไทยมุสลิมกับไทยพุทธอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงประเภทศิลปะการเต้นรำประกอบดนตรีของคนพื้นเมืองในแถบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ตลอดจนเมืองต่างๆ ของมาเลเซียตอนเหนือ เช่น กะลันตัน ไทรบุรี ปาหัง ตรังกานู ล้วนเป็นที่นิยมเล่นกันทั่วไปและแพร่ไปถึงอินโดนีเซีย กล่าวกันว่า รองเง็งได้รับอิทธิพลแบบอย่างมาจากชาวยุโรป คือ ปอร์ตุเกส สเปน ซึ่งเดินเรือเข้ามาติดต่อค้าขาย สร้างคลัง สินค้า และตั้งเป็นอาณานิคมขึ้นในย่านนี้ เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส ปีใหม่ มีงานรื่นเริงใดๆ พวกฝรั่งซึ่งมีการเต้นรำขึ้น ซึ่งก็เต้นรำกันสนุกสนาน ชาวมลายูพื้นเมืองเห็นเป็นแบบอย่างจึงนำมาฝึกซ้อมหัดเล่นขึ้นบ้าง โดยเริ่มแรกฝึกหัดจัดแสดงกันอยู่ในวงแคบ เฉพาะแต่ในบ้านขุนนางและวังเจ้าเมืองสุลต่าน เพื่อต้อนรับแขกเหรื่อหรือเวลามีงานรื่นเริงต่างๆ เป็นการภายใน ภายหลังจึงได้แพร่หลายออกสู่ชาวพื้นเมือง ในยุคแรกการแสดงรองเง็งยังอยู่ในวงจำกัด ใช้ผู้หญิงข้าทาสบริวารฝึกหัดกัน เนื่องจากวัฒนธรรมมุสลิมไม่นิยมให้สตรีเข้าสังคมใกล้ชิดกับบุรุษอย่างประเจิดประเจ้อ ต่อมาจึงใช้รองเง็งเป็นการแสดงสลับฉากฆ่าเวลาขณะเมื่อการแสดงละครมะโย่งหยุดพักครั้งละ 10-15 นาที เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเชิญให้ผู้ชมลุกขึ้นมาร่วมวงด้วย ในที่สุดรองเง็งจึงได้พัฒนารูปแบบจนเป็นที่ถูกใจชาวบ้าน มีการตั้งคณะรองเง็งขึ้นรับจ้างไปแสดงตามงานต่างๆ ทำนองคณะรำวงรับจ้างของไทย ข้อสังเกต รองแง็งที่เข้ามาทางหมู่ชาวบ้านริมฝั่งตะวันตกของภาคใต้มีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างกับเจ้าของตำรับเดิมคือมลายูเกือบสิ้นเชิง มีเพียงทำนองและท่าเต้นเท่านั้นที่ยังคงลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะบทร้องนั้นเนื่องจากใช้ภาษาไทย จึงทำให้แตกต่างกันออกไปอย่างมาก ลักษณะกลอนที่ผูกขึ้นร้องโต้ตอบ ระหว่างนางรำกับชายคู่รำก็มักเป็นกลอนปฏิภาณมากกว่ากลอนท่องจำกันต่อๆมา ทั้งการละเล่นชนิดนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะคนไทยมุสลิม แต่ยังเป็นที่นิยมของชาวไทยพุทธในท้องถิ่นแถบนี้อีกด้วย โดยจะเห็นได้จากมีการรับหล้อแหง็งแสดงในงานบวช งานมงคลของชาวไทยพุทธอยู่เสมอ และผู้มารำกับนางรำส่วนใหญ่ก็มักเป็นชาวพุทธ การแต่งกาย ผู้ชายสวมหมวกหนีบไม่มีปีก (หรือที่เรียกหมวกแขก) สีดำหรือบางทีอาจจะสวม “ชะตางัน” หรือโพกผ้าแบบเจ้าบ่าวมุสลิมก็ได้ นุ่งกางเกงขากว้าง (คล้ายกางเกงขาก๊วยของคนจีน) ใส่เสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอกสีเดียวกับกางเกง ใช้ผ้าหน้าแคบคล้ายผ้าขาวม้าเรียก “ผ้าลิลินัง” หรือ “ผ้าซาเลนดัง” เป็นผ้าไหมยกดอกดิ้นทองดิ้นเงินผืนงาม พันรอบสะโพกคล้ายนุ่งโสร่งสั้นทับกางเกงอีกชั้นหนึ่ง ผู้หญิงใส่เสื้อเข้ารูปแขนกระบอกเรียกเสื้อ “บันดง” ยาวคลุมสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทอง เป็นแถวยาว นุ่งผ้าถุงสีหรือลายยาวกรอมเท้า มีผ้าผืนยาวบางๆ คลุมไหล่ให้สีตัดกับสีเสื้อ เครื่องดนตรี 1. กลองรำมะนา (บานอ) รำมะนา 2 - 3 ใบ ภาษามาลายู เรียกว่า “ราบานา” มีรูปร่าง เป็นกลองแบนๆ ขึงด้วยหนังเพียงด้านเดียว เป็นเครื่องประกอบจังหวะในเพลงตันหยง เพลงรองเง็ง โดยทั่วไปแล้วกลองรำมะนาใช้กำกับเสียงประกอบเพลงพื้นเมืองของสเปน อิตาเลียน และอินเดีย หน้ากลองทำด้วยหนังแพะ วิธีการตั้ง ใช้ไม้ยึดกลองรำมะนาแล้วดึงเชือกให้แน่น ตรวจสอบเสียงตามลำดับเสียง โดยไม่มีการตั้งตัวโน๊ต แต่สังเกตจากเสียงที่ต่างกันของกลองทั้ง 2 ใบ โดยใบเล็กจะมีเสียงทุ้มกว่าใบใหญ่ และเหมาะที่จะแสดงในเวลากลางคืนมากกว่าเวลากลางวัน เนื่องจากหนังกลองจะสามารถยืดได้ดีในเวลากลางคืน เมื่อเสร็จการแสดงแล้วจะต้องผ่อนเชือกออก 2. ฆ้อง 2 ใบ ทุ้ม – แหลม เป็นเครื่องดนตรีดั้งเดิมของชาวตะวันตก ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ มี หลายชนิดหลายขนาด ฆ้องที่ใช้กำกับจังหวะเพลงรองเง็งเป็นฆ้องเดี่ยว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 30 - 80 เซนติเมตร เจาะรูร้อยเชือกตรงขอบสำหรับแขวนหรือถือ ปลายไม้ตีหุ้มด้วยหนังอ่อนๆ เสียงของฆ้องดังกังวานกระหึ่ม ผู้เต้นรองเง็งจะยึดเสียงฆ้องเป็นหลักในการใช้เท้า แตะเท้าหรือเล่นเท้าตามลีลาท่าเต้นของเพลงนั้นๆ 3. มารากัส หรือ แทมโบลินม 1 ชิ้น 4. ไวโอลิน (เป็นเครื่องดนตรีหลักที่สำคัญ) 1 คัน เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย ใช้คัน ชักสี เป็นซอที่มีขนาดเล็กที่สุด มีความยาวมาตรฐาน 23 นิ้วครึ่ง ส่วนที่เป็นกะโหลกซอยาว 14 นิ้ว วิธีการเล่น ใช้หนีบใต้คางแล้วสี เป็นเครื่องดนตรีที่มีเสียงแหลมใส อ่อนหวาน สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ทั้งอารมณ์สนุกสนานและเศร้าสร้อย ผู้เล่นต้องใช้เวลาฝึกนานจึงจะเล่นไวโอลีนได้เก่งและชำนาญ ไวโอลินจะเป็นตัวหลักของการบรรเลงเพลงท่วงทำนองเพลง ส่วนประกอบของไวโอลินมีเส้นเสียงทั้งหมด 4 สาย วิธีการตั้งเสียงไวโอลิน โดยวิธีบิดลูกหลักไปมาให้ตึง เพื่อตั้งเสียงตามความทรงจำ และความรู้สึกของนักดนตรีวัดเสียงของสายแต่ละเส้น นับเป็นวิธีตั้งโดยไม่มีการตั้งตามตัวโน๊ต เนื่องจากไม่เคยเรียนมาก่อน 5. กีตาร์ 1 ตัว 6. ดับเบิลเบสส์ 1 คัน เพลงที่นิยมใช้เต้นรำมีราว 7 เพลง คือ 1. เพลงลาฆูดูวอ เป็นเพลงเร็ว ชื่อเพลงหมายถึง “เพลงที่สอง” 2. เพลงลานัง เป็นเพลงเร็วและช้าสลับกัน ชื่อเพลงหมายถึง น้ำใสที่ไหลหยด น้ำตาที่ไหล ปีติ 3. เพลงปูโจ๊ะปิซัง ชื่อเพลงหมายถึง “ยอดตอง” เปรียบเสมือนยอดแห่งความรักที่กำลัง สดชื่น 4. เพลงจินตาซายัง ชื่อเพลงหมายถึง ความสำนึกในความรักอันดูดดื่ม 5. เพลงอาเนาะดีดิ ชื่อเพลงหมายถึง ลูกบุญธรรมหรือลูกสุดที่รัก 6. เพลงมะอีนังชวา เป็นเพลงช้าชื่อเพลงหมายถึง แม่นมหรือพี่เลี้ยงชาวชวา ได้ท่ารำคำร้อง เดิมมาจากชวา 7. เพลงมะอีนังลามา ชื่อเพลงหมายถึง แม่นมหรือพี่เลี้ยง เป็นเพลงเก่าแก่ 8. เพลงที่เป็นที่รู้จักกันดี และนิยมบรรเลงในงานลีลาศต่างๆ มีอยู่ 2 เพลง คือ เพลงลาฆูดูวอและเพลงมะอีนังลามา ซึ่งเป็นเพลงที่เต้นกันมาตั้งแต่โบราณ ส่วนเพลงอื่นๆ เหมาะสำหรับแสดงหมู่ (เพลงลาฆูดูวดและมะอีนังลามา เหมาะสำหรับผู้ชำนาญเพื่อแสดงลวดลายได้อย่างเต็มที่ การเต้นรองเง็งส่วนใหญ่ใช้ผู้เต้นเป็น ชาย และ หญิง ฝ่ายละ 5 คน โดยเข้าแถวแยกเป็นชายแถวหนึ่ง หญิงแถวหนึ่ง ยืนห่างกันพอสมควร ดังได้กล่าวมาแล้วว่าการเต้น แบบนี้ต้องใช้ลีลาของมือและเท้า และลำตัว เคลื่อนไหวไปข้างหน้า ข้างหลัง ให้เข้ากับดนตรีที่ประกอบ อีกประการหนึ่งมีผู้ให้ความเห็นว่า ความสวยงาม ความน่าดู ความ น่าดู ความเป็นศิลปะของรองเง็งอยู่ที่ การใช้เท้าเต้นให้เข้ากับจังหวะส่วนการร่ายรำเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น เพลงที่นิยมร้องและเต้นกันมากในปัจจุบัน เช่น ยังโง่ง ลาฆูดูวอ มะฮีนังลามา ฮาเนาะดีดี๊ซีนาโดง ปาหรีหาดยาว บุหรงปูเต๊ะ เพลงนอกเหนือจากนั้นไม่นิยมร้องและเต้นเพราะต้องใช้เวลาในการฝึกนาน ผู้ที่มีไหวพริบเท่านั้นจึงจะร้องและเต้นได้ ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง ทั้งไทยมุสลิมและไทยพุทธต่างก็ชอบและเต้นรองเง็ง รองเง็งจึงกลายเป็นการละเล่นพื้นเมือง ที่เป็นสมบัติของชาวสตูลโดยแท้ ลักษณะการเล่นในปัจจุบันพัฒนาไปตามยุคตามสมัย การแต่งกายของผู้หญิงที่เต้น แต่งกายตามสมัยนิยม มีการนุ่งกระโปรงสั้นและมีการพัฒนาจังหวะการเต้นเป็นจังหวะร็อค ชะชะช่า รุมบ้า เป็นต้น แต่ยังคงเนื้อเพลงแบบดั้งเดิมไว้ อันเป็นสัญลักษณ์ของรองเง็ง เช่น ถึงที่ก็รักน้องก็ข้อง ไม่ที่หม่นหมองกันทำไร (ซายังละบุหรงปูเต๊ะ บังเกตมนารี) อยู่บ้านเดียวกัน เห็นหน้าทุกวันสาใจใหญ่ ไม่ที่หม่นหมองกันทำไร ไปมานี้หนอขอน้ำกิน (ซายังสะ หรงปูเต๊ะ บังเกตมานารี) โอกาสที่ใช้เล่น เช่น งานแต่งงานของชาวบ้านในชนบท งานฉลองต่างๆ ขึ้นบ้านใหม่ การแก้บน เป็นต้น ลักษณะการเต้นรำ เมื่อดนตรีขึ้นเพลง ผู้ชายจะไปโค้งฝ่ายหญิงแล้วพากันไปเต้นรำเป็นคู่ๆ ตามจังหวะเพลง มีทั้งช้าและเร็วหรือสลับกัน กระบวนท่ามีทั้งท่ายืน ท่านั่ง ปรบมือ เล่นเท้า หมุนตัว วาดลวดลายไล่เลียงกันด้วยความชำนาญ และเข้ากับจังหวะเพลงอย่างสวยงามน่าดู สนุกสนาน เร้าใจ การเต้นรำจะไม่ถูกเนื้อต้องตัวกัน เน้นความสุภาพ ความอ่อนช้อย ไม่หยาบโลน เน้นศิลปะความสวยงาม เป็นการแสดงพื้นบ้านของชาวไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีวิวัฒนาการมาจากการเต้นรำพื้นเมืองของชาวสเปน โปรตุเกส ซึ่งนำมาแสดงในแหลมมลายู เมื่อคราวได้เข้ามาติดต่อทำการค้าจากนั้นชาวมลายูได้นำมาดัดแปลงและเรียกการเต้นรำแบบนี้ว่า “รองเง็ง” มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า มีการเต้นรองเง็งมานานแล้วสมัยก่อนการยกเลิกการปกครอง 7 หัวเมืองภาคใต้ โดยนิยมเต้นกันเฉพาะในวังของเจ้าเมือง แขกผู้ชายที่ได้รับเชิญมารื่นเริงในวัง จะได้จับคู่เต้นกับฝ่ายผู้หญิง ซึ่งเป็นบริวารในวังและมีหน้าที่เต้นรองเง็ง ต่อมารองเง็งได้แพร่หลายไปสู่ชาวบ้าน โดยใช้เป็นการสลับฉากของมะโย่ง ผู้แสดงมะโย่งที่เป็นผู้หญิงจะร้องเพลงเชิญชวนให้ผู้ชมขึ้นไปร่วมเต้นรองเง็งด้วย การเต้นรองเง็งจึงเป็นกิจกรรมที่สนุกถูกใจชาวบ้าน จึงมีผู้ตั้งคณะรองเง็งขึ้นมาในลักษณะการรำวงเปิดโอกาสให้ผู้ชมขึ้นไปเต้นคู่กับหญิงรองเง็ง แล้วเก็บเงินค่าเต้น เพื่อหารายได้เป็นสำคัญ โดยไม่รักษาแบบฉบับที่สุภาพสวยงาม ทำให้ การเต้นรองเง็งเสื่อมความนิยมไประยะหนึ่ง ใน พ.ศ. 2496 ขุนจารุวิเศษศึกษาการ ศึกษาธิการอำเภอเมืองปัตตานี ได้รื้อฟื้นรองเง็งขึ้นมาใหม่ ในรูปของการแสดงบนเวที ปรากฏว่ารองเง็งเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป ทำให้รองเง็งได้รับการฟื้นฟูและพัฒนาขึ้นมีบทเพลงในการเต้นเพิ่มมากขึ้นถึง 14 เพลง แต่ปัจจุบันมีเห็นกันอยู่ 8 เพลง คือ ลากูดูวอ, ลานัง, ปูโจ๊ะปีซัง, เมาะอินังชวา, จินดารายัง, เมาะอินังลามา, อาเนาะดิดี๊ และรุมบ้ารองเง็ง การแสดงรองเง็งเป็นการแสดงหมู่ ประกอบด้วยผู้เต้นชาย - หญิง เต้นคู่กันไปไม่น้อยกว่า 5 คู่ เข้าแถวแยกกันเป็นแถวตอน เมื่อคนตรีขึ้นเพลงแต่ละเพลงคู่เต้นจะสลามซึ่งกันและกัน และเมื่อจบเพลงจะสลามอีกครั้ง ท่าเต้นของรองเง็งแต่ละเพลงจะมีลีลาไม่เหมือนกัน ผู้แสดงจะต้องจำเพลงและลีลาการเต้นประจำเพลงให้ได้ จุดเด่นของการเต้นคือ การเปลี่ยนจังหวะช้า - เร็ว ของเพลงประกอบการเต้นซึ่งลีลาการเต้นจะเปลี่ยนไปด้วย การแต่งกายของผู้แสดง ในอดีต ผู้แสดงรองเง็งส่วนใหญ่แต่งกายพื้นเมือง ฝ่ายชายที่ได้รับเชิญไปในงานจะแต่งกายตามแบบพื้นเมือง คือนุ่งกางเกงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอกสีเดียวกับกางเกง มีผ้านุ่งทับข้างนอกยาวเหนือเข่าเล็กน้อย สวมหมวกแขกสีดำ ผ้าที่ทับข้างนอกจะแสดงฐานะของเจ้าของได้เป็นอย่างดี สังเกตจากการที่นุ่งผ้าถ้ามีฐานะดีก็จะนุ่งผ้าไหมยกดิ้นทอง รองลงมาก็จะเป็นผ้าฝ้ายธรรมดา จนถึงผ้าโสร่งปาเต๊ะธรรมดา ปัจจุบัน ผู้ชายสวมหมวกไม่มีปีก สีดำหรือที่เรียกว่า หมวกแขก นุ่งกางเกงขายาว ขากว้างคล้ายกางเกงจีน สวมเสื้อคอกลมแขนผ่าครึ่งอก (เสื้อตะโละหลางา) สีเดียวกับกางเกงแล้วใส่โสร่งแคบๆ ยาวเหนือเข่าสวมทับกางเกง เรียกว่า ผ้าสิลิฟังหรือผ้าชาเลนดัง ในอดีต ผู้หญิงมักจะแต่งเป็นชุดทั้งโสร่งและเสื้อเป็นดอกสีเดียวกัน และมักมีสีสดๆ ตัวเสื้อแขนยาวผ่าอกตลอดหรือเสื้อคอชวาแขนสามส่วน นุ่งผ้ากรอมเท้ามีผ้าคลุมไหล่ปักดิ้นหรือลูกไม้ตามฐานะ ปัจจุบัน ผู้หญิงสวมเสื้อแขนกระบอก เรียกว่า เสื้อปันดัง ลักษณะเสื้อเข้ารูปปิดสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมเป็นระยะ สีเสื้อสดสวยเป็นสีเดียวกับผ้านุ่งกรอมเท้า นอกจากนั้นยังมีผ้าคลุมไหล่บางๆ สีตัดกับเสื้อที่สวม การแต่งกายของรองเง็ง อย่างไรก็ตาม ในยุคโลกาภิวัตน์นิยมแต่งให้สอดคล้องกับความสนใจของวัยรุ่นแฟชั่นสมัยใหม่ มีการนุ่งกระโปรงสั้นๆ เสื้อแขนสั้น หรือนิยมแต่งกายแบบหญิงไทยมุสลิมทั่วไป คือนุ่งผ้าถุงปาเต๊ะ สวมเสื้อยาหยา และนิยมผ้าที่เป็นลูกไม้สีสดใส มีผ้าคล้องคอ สำหรับคณะไหนที่มีผู้ชายจะนิยมแต่งกายแบบชุดพิธีของชายมาลายู คือนุ่งกางเกงขายาว ใช้ผ้าโสร่งพับครึ่งนุ่งทับกางเกงอีกที ใส่เสื้อแขนยาวนิยมสีขาวหรือสีอ่อน สอดชายไว้ในกางเกง สวมหมวกด การแสดง 1. ผู้แสดง นักแสดงชายหญิงแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายๆละเท่าๆกัน ประมาณ 4-5 คนผู้แสดงยืนเป็นแถว ตรงกันข้ามระหว่างชายและหญิง 2. ผู้ชายนำผ้าคล้องคอไปคล้องให้ผู้หญิงที่ที่ตนพอใจ โค้งแล้วเดินก้าวออกมาข้างหน้าเวที การแสดงหันหน้าเข้หากัน ผู้ชายเป็นฝ่ายร้องเพลงโต้โดยแสดงท่ารำไปพร้อมกับผู้หญิง (ผู้ชายร้อง) ตันยงตันหยง ยงไหรละน้องยังดอกเหมฺ พี่ไปกไม่รอดเสียแล้วเน โถกเหน่น้ำตาปลาดุหยง คดข้าวสักหวัก คิดถึงน้องรักบังกินไม่ลง โถกเหน่น้ำตาปลาดุหยง บังกินไม่ลงสักคำเดียว (ผู้หญิงร้องตอบ) ตันยงตันหยง ยงไหรละบังยังดอกเหมฺ ตัวบังต้องตายเสียแล้วเน้ ด้วยเหน่น้ำตาปลาดุหยง อยากสับกับหวัก คนเขาไม่รักบังอี้ไหลหลง ด้วยเหน่น้ำตาปลาดุหยง ทำกินไม่ลงของของเมีย 3. ขณะที่คู่รำคู่แรกร้องโต้ตอบ คู่ที่รอจะแสดงเป็นคู่ต่อไป แสดงท่ารำอยู่กับที่ และร้องรับคำสร้อยของเพลงไปพร้อมๆกัน เมื่อคู่แรกร้องโต้ตอบจบเพลง คู่ต่อไปก็ออกมาร้องต่อ ฉันทลักษณ์เพลง หนึ่งเพลง มี 4 บาท หนึ่งบาท มี 2 วรรค จำนวนคำ วรรคที่ 1 และ 4 มีวรรคละ 4คำ วรรคที่เหลือ 7-8 คำ วรรคที่ 4 และ 7 ซ้ำกัน วิเคราะห์เพลงดอกย่าหนัด (สร้อย) หน่อย นอย น๊อย น้อย หน่อย น้อย นอย น้อย หน่อย นอย น้อย หนอ่ย นอย น้อย นอย หน่อย หน่อย นอย หน่อ นอย น็อย น้อย นอย นอย น้อย (ชาย) ตั่นยงตันยง ยงไหรเวอน้องยังดอกย่าหนัด ขอถามสักคำแม่ผมดัด สุเหร่ากับวัดน้องหนัดไหน คิดให้รอบคอบ บังเคร่าน้องตอบให้ชื่นใจ สุเหร่ากับวัดน้องหนัดไหน ถ้ารักคนไทยได้กินหมู (หญิง) ตันยงดันยง หยงไหรละน้องยังดอกย่าหนัด คำถามของบังน้องฟังชัด หนัดรักน้องหญิงแชอยู่ไตร น้องคิดรอบคอบ แล้วน้องจึงตอบอย่างมั่นใจ หนัดรักน้องหญิงแชอยู่ไตร แขบแขบตัดไขเข้าสุเหร่า 1. คำและความหมาย ย่าหนัด หมายถึง สับปะรด คนพัทลุง เรียก มะลิ เคร่า หมายถึง รอ เป็นคำไทยโบราณ ถ้า ก็พูดหนัด หมายถึง ถนัด ชอบ ชำนาญ เก่ง บัง เป็นคำสรรพนาม หมายถึง พี่ชายที่เป็นมุสลิม แช หมายถึง ช้า นาน ไตร หมายถึง ทำไม แขบ หมายถึง รีบ อย่าช้า ไข อวัยวะเพศชาย 2. คุณค่าของคำ สำนวน ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรม แม่ผมดัด เป็นค่านิยมในการแต่งกายของผู้หญิงสมัย 60 ปีก่อน ผู้หญิงนิยมดัดผม ให้หยิกเป็นลอน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีครอบครัวแล้ว (เป็นเรินแล้ว) กินหมู หมายถึง งานแต่งงาน ได้กินหมูคือมีงานแต่ง บางครั้งก็พูดว่ากินเหนียว เฉพาะไทยพุทธจะนำเนื้อหมู่ไปปรุงอาหารเลี้ยงแขกในงานแต่งงาน เพราะประกอบเป็นอาหารได้หลายอย่าง สะดวก และปรุงได้รวดเร็ว แต่ไม่รับประทานเป็นอาหารหลักทุกมื้อเหมือนคนจีน แต่มุสลิมจะไม่กินหมูตามความเชื่อทางศาสนา ตัดไข หมายถึง การขริบปลายอวัยวะเพศชาย เมื่อถึงวัยอันควร (ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่าอายุเท่าไร) เป็นการทำสุหนัติ ที่เรียกว่า มาโซะยาวี (สุหนัติ คือการปฏิบัติตามหลักศานาอิสลาม เช่น การทำละมาด ถือศิลอด เป็นต้น ) เข้าสุเหรา เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศานาอิสลาม เช่นทำละมาด สถานที่ดังกล่าว ถ้ามีอาคารมั่นคงถาวร เรียกว่า มัสยิด (แต่ตามเนื้องเพลง สุเหร่าหมายถึงนับถือศาสนาอิสลาม วัด หมายถึงนับถือศาสนาพุทธ) คุณค่าของเพลง 1. วัฒนธรรมเป็นสื่อประสานความรัก ความเข้าใจของคนในสังคม ในโลก แม้ต่างศาสนา ต่างความเชื่อ แต่เราก็เกิดมาร่วมโลก ร่วมเวลา เรานำศิลปการแสดง เพลงมาเป็นสื่อสัมพันธ์ คล้องใจ 2. คนเราควรมีความมั่นคง ความเข้าใจในความรักเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว เพราะก่อนตัดสินใจแต่งงานกัน เรายอมรับตามเหตุผลที่ตนพิจารณาว่าดีแล้วทั้งเรื่อง ญาติพี่น้อง พ่อแม่ ฐานะทางสังคม เชื้อชาติ ประเพณีว้ฒนธรรม และศาสนา มือซอจากลิบง (ผมขอยืมมาประกอบนะ) เพลงดอกเหมฺ (ชาย) ตันยงตันหยง ยงไหรละน้องยังดอกเหมฺ พี่ไปไม่รอดเสียแล้วเน้ โถกเหน่น้ำตาปลาดุหยง คดข้าวสักหวัก คิดถึงน้องรักบังกินไม่ลง โถกเหน่น้ำตาปลาดุหยง กินข้าวไม่ลงสักคำเดียว (หญิง) ตันยงตันหยง ยงไหรละบังยังดอกเหมฺ ตัวบังต้องตายเสียแล้วเน ด้วยเหนย่น้ำตาปลาดุหยง อยากสับกับหวัก คนที่ไม่รักบังอี้ไหลหลง ด้วยเหน่น้ำตาปลาดุหยง ทำกินไม่ลงของของเมีย เพลงดอกลอกอ (ชาย) ตันยงตันหยง ยงไหรละน้องยังดอกลอกอ รักพี่มั่งหม้ายอีไปขอ แหลงกับแม่พ่อทอหวันช้าย น้องเกิดเป็นหญิง พอเลิกแขวนปิ้งต้องอยู่กับชาย บอกกับแม่พ่อทอหวันช้าย เคร่าถึงเดือนอ้ายจิไปขอ (หญิง) ตันยงตันหยง ยงไหรละบังยังดอกลอกอ ถ้ารักน้องจริงก็ต้องรอ ค่อยมาสู่ขอกันก็ได้ พี่ว่าเป็นหญิง พอหาหม้ายปิ้งต้องอยู่กับชาย ค่อยมาสู่ขอกันก้าได้ น้องเชื่อพี่ชายถ้ารักจริง รองเง็งเป็นการละเล่นของชาวบ้านประเภทผสมผสานระหว่างท่าเต้นกับบทร้อง การแสดงเหมือนกับรำวงทั่วไป กล่าวคือ มีการจัดตั้งคณะรองเง็งขึ้นเป็นคณะ คณะหนึ่งมีนางรำประมาณ 4 - 10 คน นางรำเหล่านี้จะถูกฝึกให้มีความชำนาญในจังหวะการเต้นแบบต่างๆ พร้อมกันนั้นก็จะต้องสามารถร้องเนื้อร้องได้ทุกทำนอง และต้องรู้ทั้งบทกลอนที่ท่องกันมาและสามารถผูกกลอนสดขึ้นร้องโต้ตอบกับคู่รำได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ นางรำส่วนใหญ่มักจะได้รับการฝึกหัดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในสมัยโบราณคณะรองเง็งคณะหนึ่ง มักจะเป็นคนในครอบครัวหรือเครือญาติเดียวกัน หรือไม่ก็คนในหมู่บ้านเดียวกัน (เพราะสะดวกในการฝึกซ้อมและในการเรียกรวมตัวเมื่อมีผู้มาติดต่องาน การแสดง) หนึ่งในจำนวนนั้นจะมีนายโรงคนหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมของรองเง็งเป็นอย่างดี และมักจะเป็นมือซอหรือมือไวโอลินประจำคณะด้วย ลักษณะการแสดงรองเง็งแตกต่างจากรำวงอย่างสิ้งเชิง คือ บทร้อง การแสดงรองเง็งจะมีบทร้อง 2 ลักษณะคือ ลักษณะแรกบทร้องเก่าๆ ที่จดจำสืบต่อกันมา อีกลักษณะหนึ่งเป็นการร้องสด คือทั้งนางรำและคู่เต้นรำจะคิดเนื้อร้องสดๆ ขึ้นมาร้องโต้ตอบกันในขณะที่เต้น เนื่องจากเนื้อหาเป้าหมายของบทร้องเพลงรองเง็งส่วนใหญ่จะมุ่งอยู่ที่เรื่องราวเกี่ยวกับความรักและการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว การโต้ตอบแก้เพลงกันระหว่างคู่เต้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดและสนุกสนานที่สุดด้วย การแสดงรองเง็งของชาวบ้านนี้ผู้เล่นจะต้องมีปฏิภาณสูง ต้องคิดกลอนได้เร็ว มีความคิดแหลมคมจึงจะสามารถเล่นได้ดี การรำ โดยปกติในการรำวงนั้นนางรำและคู่รำเดินไปรอบๆ วง แต่รองเง็งนั้นทั้งนางรำและคู่รำจะยืนอยู่ที่เดียว สำหรับท่ารำ แตกต่างจากรำวงเพราะการแสดงนี้ผู้รำไม่ได้เดินไปรอบๆ วงเหมือนรำวง แต่ผู้รำจะยืนอยู่ที่เดียว มีการใช้ท่าเท้า ท่ามือ การโอนตัวอ่อน การโยกตัวและการย่อตัวเป็นหลัก องค์ประกอบของการแสดงรองเง็ง ผู้เต้นรองเง็ง ศิลปะการแสดงรองเง็งเป็นศิลปะการแสดงหมู่ ประกอบด้วยผู้เต้นทั้งชาย และหญิงเป็นคู่ จำนวนคู่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานที่ แต่ที่นิยมเต้นกันไม่ต่ำกว่า 5 คู่ ชาย - หญิงฝ่ายละ 5 ชายหนึ่งแถวและหญิงหนึ่งแถว ยืนห่างกันพอสมควรเพื่อความงามของการแสดงหมู่ ผู้แสดงจะต้องรู้จักจังหวะเพลงและลีลาในการเต้นงดงาม ท่าเต้น จะมีลีลาเต้นเคลื่อนไหวทั้งมือและเท้า รวมทั้งลำตัวอย่างนิ่มนวล จุดเด่นของการเต้นอยู่ที่การเต้นเปลี่ยนจังหวะช้าและเร็วของเพลงที่ใช้เต้น ลีลาของผู้เต้นก็จะเปลี่ยนไป บางเพลงมีลีลายั่วเย้าอารมณ์ และมีการหลบหลีกหยอกล้อเล่นหูเล่นตา บางเพลงมีการหมุนตัวสลับกันบ้าง นอกจากนั้นความงามอีกอย่างหนึ่งของการเต้นรองเง็งคือความพร้อมเพรียงในการเต้นและการก้าวเท้าไปหน้าและถอยหลังของท่าเต้น โน้ตเพลง บทเพลง บทละคร เพลงและทำนองเพลง เพลงและทำนองเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของ ศิลปะการแสดงรองเง็ง หรือ ตันหยง และสาเหตุ หนึ่งที่เรียกการละเล่นนี้ว่า “เพลงตันหยง” หรือ “ตันหยง” ในจังหวัดกระบี่ และจังหวัดภูเก็ต คงเพราะเนื้อเพลงที่นิยมร้องโต้ตอบกันมักจะขึ้นต้นด้วยคำว่า “ตันหยง ตันหยง.....” เนื้อเพลงตันหยงสามารถกำหนดลักษณะฉันทลักษณ์โดยทั่วไปของเพลงได้ ดังนี้ บทหนึ่งมี 4 วรรค แต่ละวรรคมี 4 – 8 คำ วรรคต้นมี 8 คำ มักจะขึ้นต้นด้วยด้วยคำว่า “ตันหยงตันหยง......” ซึ่งหมายถึงดอกไม้อันเป็นภาพตัวแทนของผู้หญิง วรรคที่ 2 มี 7 - 8 คำ ขึ้นด้วย “หยงไหรละน้อง......ยังดอก....” แล้วใส่ชื่อดอกไม้หรือต้นไม้ตามที่คิดไว้เข้าไปเป็นคำต่อไปจนครบ 8 คำ วรรคที่ 3 และวรรคที่ 4 มี 7 – 8 คำ วรรคที่ 5 มี 4 คำเหมือนวรรคแรก วรรคที่ 6 มี 7 – 8 คำ มักใช้ซ้ำกับวรรคที่ 4 วรรคที่ 8 มี 7 – 8 คำเช่นกัน ตัวอย่าง เช่น ตันหยงตันหยง กำปงแลน้องยังดอกกาบลาว ยกขึ้นแต่งตัวแต่หัวเช้า นกบินหลายเล่าข่าวน่าสงสาร ใครไปบางกอกมั่ง บอกให้ร้อยช่างน้อยอย่าอยู่นาน นกบินหลาเล่าข่าวน่าสงสาร ทำให้บังนี้รำคาญใจ ยามค่ำแลยามค่ำ เสียงหริ่งไรมันร่ำอยู่หริ่งหริ่ง ข้องใจถึงน้องของบังจริง บังเอาหลังไปพิงที่ปากตู กระบี่ต้องเป็นสอง ถ้าไม่ได้น้องบังก็ไม่อยู่ บังเอาหลังไปพิงที่ปากตู น้องสาวไม่รู้หัวใจบัง บูงาตันโย้ง กำปงแลน้องโย้งต้นผักกาด บังไปไม่รอดเสียแล้วเด้ ถูกเหนน้ำตาปลาดุหยง ตันหยงตันหยง กำปงแลน้องโย้งต้นผักกาด บังนี้เดินเล่นอยู่ริมหาด เห็นน้องคิ้ววาดนั่งต่อยหอย ต่อยอยู่ปกปก ได้หอยกี่พรกละน้องสาวน้อย (ซ้ำ) เห็นน้องคิ้ววาดนั่งต่อยหอย น้องเอ่อน้ำย้อยสองแคมหีน ปัจจุบันศิลปะการแสดงรองเง็ง นอกจากมีการพัฒนาเนื้อร้องที่เป็นภาษาไทยแทนแล้ว ยังได้คิดท่ารำเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เช่น ปารีหาดยาว ซินาโด้ง ปารีใหม่ ยางโค้ง เป็นต้น ศิลปะการแสดงรองเง็งในปัจจุบันกำลังหาดูได้ยากขึ้นทุกที คนรุ่นใหม่หรือคนหนุ่มสาวขาดความสนใจที่จะสืบทอดอย่างจริงจัง ประกอบกับสิ่งอำนวยความสะดวกและสิ่งบันเทิงใหม่ๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว กลุ่มศิลปินที่เหลือล้วนมีอายุแล้วทั้งสิ้น จึงควรที่จะสืบสาน สืบทอดและเผยแพร่ศิลปะการแสดงรองเง็งให้คงอยู่คู่กับท้องถิ่นต่อไป สถานที่ในการแสดง ในสมัยโบราณศิลปะการแสดงนิยมเล่นบนลานดินกว้างๆ หรือตามชายหาด ปัจจุบันเพื่อความสะดวกและนิยมปลูกเวทีเตี้ยขึ้นมาเพื่อความเป็นสัดส่วนสำหรับผู้เล่น กระบวนท่า จังหวะหาดยาว ผู้หญิง จีบตั้งวงต่ำข้างลำตัวผู้ชาย สลับซ้าย - ขวา เท้าแตะไปหลังสลับซ้าย - ขวา ผู้ชาย ตั้งวงกว้างระดับไหล่ จีบซ้ายขวาสลับกัน โอบผู้หญิง เท้าแตะไปหลังสลับซ้าย - ขวา จังหวะปาหรี๊ ผู้หญิง มือจับผ้าสลับขึ้นลงทำท่าปัดป้อง ซอยเท้าถี่ๆ ซ้ายขวา ขยับไหล่ เอว ผู้ชาย หงายฝ่ามือยื่นไปข้างหน้าระดับไหล่ โอบฝ่ายหญิง ซอยเท้าถี่ๆ ซ้ายขวา ขยับไหล่ เอว จังหวะยะโห่ง ผู้รำทั้งหญิงชาย เปิดส้นเท้าข้างหนึ่ง มือเท้าสะเอว ส่ายสะโพก จังหวะยะโห่ง (ท่าตีเข่า) ผู้รำทั้งหญิงชาย มือซ้ายเท้าสะเอว มือขวากำมือหงายขึ้นมาเหนือ เข่าด้านที่ยกขึ้นมาระดับเอวสลับกันไปมา จังหวะยะโห่ง (ท่าสะบัดสะโพกเข้าหากัน) ผู้รำทั้งหญิงชาย ก้าวเท้าไปข้างหน้า สะบัดสะโพกเข้าหากัน มือยกระดับเอวแล้วสะบัดขึ้นลง จังหวะยะโห่ง (ท่าโยกตัวตามกัน) ผู้รำทั้งหญิงชาย ก้าวเท้าไปข้างหน้า โยกตัวตามกัน และหมุนมือ จังหวะยะโห่ง (ท่าผัด) ผู้รำทั้งหญิงชาย ก้าวเท้าไปข้างหน้า กางแขนสะบัดไหล่เข้าหากัน แล้วโน้มตัวตามกันไปมา |
| เอกสารเพิ่มเติม |
ดาวน์โหลด |
เรามีการใช้คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหรือเพื่อการทำงานของเว็บไซต์และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายแนวปฎิบัติการใช้คุกกี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ที่ Cookies Policy