| ชื่อการละเล่น | มะตือรี |
|---|---|
| รายละเอียดการละเล่น | มะตือรี, เตอรี, ปัตตารี, เตอตรี, หรือตือมี เป็นวิธีการอย่างหนึ่งของหมอไสยศาสตร์ ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้า วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อำนาจสิ่งเร้นลับ เพื่อรักษาอาการป่วยไข้ บางครั้งก็มีการจัดหามาแสดงต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เลยเข้าใจว่า มะตือรี เป็นมหรสพประเภทหนึ่งด้วย เป็นการบรรเลงดนตรีเพื่อการประกอบพิธีการรักษาโรคของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เครื่องดนตรีตือรีที่ใช้ประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาคนไข้ เดิมมี ฆือบะ หรือ ซออย่างเดียวผู้สีซอคือบอมอหรือพ่อหมอรักษาคนไข้ ต่อมาเพิ่ม ฆือแน คือกลอง 2 หน้า หรือทับ 2 ใบ ฆ้อง 2 ใบ และขันทองเหลืองสำหรับตี 1 ใบ ความเป็นมา มะตือรีนิยมเล่นเพื่อรักษาคนไข้ที่เชื่อว่าเป็นต้นเหตุของการป่วยที่มาจากการถูกคุณไสย เวทมนตร์คาถา การฝังรูป ฝังรอย เลขยันต์ ถูกเข็ม ถูกหนังอาคมเข้าท้อง ถูกวิญญาณ (อางิน) ทักทอ เช่น การละเล่นเซ่นไหว้ครูศิลปิน (สำหรับผู้มีเชื้อสายโนรา - มะโย่งและวายัง) โดยอาศัยโต๊ะมะตือรีเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับ ดวงวิญญาณนำมาบอกกล่าวกับโต๊ะมีโนะ แนะแนวทางให้ทราบกรรมวิธีเพื่อรักษาคนไข้หรือถอดถอนอาถรรพณ์อย่างไร เช่น การเซ่นไหว้ ใช้บน ทำพิธีพลีกรรมขอขมาลาโทษ คำว่า ตือรี เป็นชื่อหนึ่งของรายอมูดอ หมายถึง กษัตริย์หนุ่มหรือยุพราช ผู้มีคาถาอาคม ปัจจุบันถือเป็นสายลมหรือวิญญาณที่จะมาช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย หรือทำให้คนล้มป่วยก็ได้ ลูกหลานคนใดระลึกถึงก็จะให้คุณ ถ้าเมินเฉยไม่ทำพิธีกรรมเซ่นสรวงบูชาก็จะให้โทษ เล่ากันว่าเดิมรายอมูดอเป็นคนเดินทางจากอินเดียมาสู่แหลมมลายู ดังนั้นตือรีเป็นความเชื่อดั้งเดิมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ โดยได้รับอิทธิพลมาจากชาวอินเดียนับถือศาสนาฮินดู ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาภายหลัง สาเหตุที่มีคนเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะเชื่อว่าถูกวิญญาณตายาย หรือวิญญาณชั่วร้ายมาสิง จึงต้องการทราบว่าเพราะอะไร แล้วจะแก้ไขอย่างไรจึงมีการเข้าทรงคนไข้ อุดม หนูทอง กล่าวว่า ตำนานหรือความเป็นมาของมะตือรี เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมวัดชลธาราสิงเห อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2458 ฝ่ายรับเสด็จได้จัดมะตือรีแสดงทอดพระเนตร ดังความในจดหมายเหตุของ สักขีว่า “ชาวอำเภอตากใบได้มีมหรสพสมโภช และแสดงกีฬาทอดพระเนตรที่มีการแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือการเข้าผี เรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “ปัตตารี” มีดนตรีอย่างมลายูสำรับหนึ่งคือ ซอ 1 กลองแขก 2 ฆ้องใหญ่ 1 คู่ และฆ้องรางอีกหนึ่ง บรรเลงและร้อง มีชายหนุ่มคนหนึ่ง แก่คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหน้า ออกท่ารำแล้วแกว่งศีรษะปิดคอไปมาไม่หยุดหย่อน เข้ากับเสียงเพลงและเสียงร้อง บิดคอกลอกไปกลอกมา อยู่ได้ตั้ง 10 นาทีกว่า ผู้ดูรู้สึกเมื่อยคอแทน น่ากลัวจะเคล็ด มีผู้คนมาดูมาก” จากหลักฐานจดหมายเหตุนี้แสดงว่า เมื่อ พ.ศ. 2458 มีการเล่นมะตือรีแล้ว และคาดว่าน่าจะมีการเล่นมาก่อนหน้านั้นนานทีเดียว ทั้งนี้เพราะการเข้าผีเป็นความเชื่อและพิธีกรรมที่มีมาแต่โบราณ มะตือรีก็เป็นดนตรีเพื่อการนี้โดยเฉพาะ พิธีกรรม การเล่นดนตรีตือรี สถานที่ที่ทำพิธีตือรีรักษาคนไข้จะทำบนบ้านหรือระเบียงบ้านของคนไข้ การว่างเครื่องดนตรีคล้ายโรงแสดงมะโย่ง แต่เครื่องดนตรีจะเรียงไปทางทิศตะวันออก พ่อหมอจะเป็นผู้เล่นฆือบะ และมีผู้ป่วยนั่งหรือนอนอยู่ตรงหน้าพ่อหมอ ถัดไปด้านข้างคนตีฆ้อง 2 คน ทับ 2 คน และขันทองเหลือง 1 คน ตรงเหนือสถานที่ทำพิธีกรรมนั้น ใช้ผ้าขาวทำเพดานผูกขึงไว้ 4 มุม แทนฉัตรกั้นเพราะวิญญาณในร่างคนไข้เป็นกษัตริย์หนุ่มคือ รายอมูดอ รอบๆ เสาที่ปักทำโรงพิธีมีผลไม้ เช่น กล้วย อ้อย รวมทั้งดอกไม้หอม แป้งหอม ผ้าและด้ายขาวผูกห้อยเอาไว้ อาหารที่ใช้มีข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวเหลือง และข้าวเหนียวแดง ภาษามลายู ท้องถิ่นเรียก “สมางัด” จัดวางบนพานแยกเป็นส่วนๆ สลับสีสวยงาม บนพานข้าวเหนียว ปักเทียนไข 3 เล่ม ถัดจากพานข้าวเหนียวก็เป็นจานไก่ย่าง อาหารหวานคาวและผลไม้ อาหารดังกล่าวนี้ คือ ของสังเวยแด่ รายอมูดอ ส่วนค่ายกครูมีหมากพลู ยาฉุน สีเสียด และเงินค่าราดหรือค่าบูชาครู 12 บาท ก่อนพ่อหมอจะ ลงมือรักษาจะว่าเวทมนตร์คาถาป้องกันตนเอง เพื่อป้องกันวิญญาณที่สิง อยู่ในร่างคนไข้มาทำอันตราย เมื่อเริ่มพิธีพ่อหมอจะเผากำยานรมมือ เพื่ออัญเชิญวิญญาณรายอมูดอให้ลงมาประทับร่างคนไข้นั้น พ่อหมอเริ่มบรรเลงเพลง ซอ ฟังไพเราะจับใจ บางครั้งก็เยือกเย็นและโหยหวนรายรอบคนป่วยหน้าพ่อหมอนั้นมีชาวบ้านประมาณ 6 - 7 คน คอยนั่งฟังคำถามและคำตอบจากพ่อหมอและคนไข้ด้วยใจจดใจจ่อ เป็นการแสดงประเภทดนตรี หรือใช้บรรเลงดนตรีเป็นหลักแต่ผสมการท่องบทสวดมนต์เป็นเครื่องดนตรีรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ตามความเชื่อคุณไสยหรือความเชื่อทางไสยศาสตร์ศาสตร์ ที่เข้าใจว่าเมื่อคนเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอาจจะเป็นเพราะผีหรือวิญญาณบรรพบุรุษ ผีสางนางไม้มาเข้าสิง เข้ามาทำร้ายโดยเฉพาะผีผู้มีนามว่า “ตือรี” จำเป็นต้องหาพ่อหมอผู้มีคุณวิชาความรู้มาช่วยรักษา ถือเป็นการรักษาโดยทางจิตวิทยาอาศัยเสียงดนตรีประกอบ การประกอบพิธีไล่ผีรักษาความเจ็บป่วยนี้ จะกระทำกันในเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ได้ ถ้าทำพิธีวันเดียวหรือคืนเดียวไม่หาย ก็ให้ทำติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน ถ้าผู้ป่วยยังไม่หายอีกให้เว้นสักระยะหนึ่ง แล้วหาตือรีคณะใหม่มาทำพิธีอีกจนกระทั่งผู้ป่วยหาย เชื่อกันว่าถ้าประกอบพิธีถูกต้อง ผู้ป่วยก็จะหายจากความเจ็บป่วยจริงๆ องค์ประกอบในการเล่นและเครื่องดนตรี เดิมใช้เครื่องดนตรีประกอบพิธีกรรมอย่างเดียวคือ “ซอ” (ฆึบบะ) สองสาย ผู้สีซอ คือ พ่อหมอ (บอมอ) ต่อมาภายหลังเพิ่มกลองแขก (ฆึนแน - กลองสองหน้า) จำนวน 2 ใบ หรือทับ 2 ใบ ฆ้อง 1 ใบ และขันทองเหลืองสำหรับตี 1 ใบ เครื่องบูชาครูมี หมาก พลู ยาเส้น อย่างน้อย 3 คำ เงินบูชาครู 12 บาท วิธีบรรเลงรักษาคนไข้ ให้คนป่วยมานั่งหรือนอนตรงหน้าพ่อหมอ ซึ่งอยู่ภายในปริมณฑลโรงพิธีที่ปักเสา 4 ต้น ข้างบนเพดานผูกขึงด้วยผ้าขาว 4 มุม ข้างล่างเป็นเครื่องบูชามีหมากพลู ยาเส้นสีเสียด เงินค่าราด ผลไม้ กล้วย อ้อย ดอกไม้ ข้าวเหนียว (ขาว-เหลือง-แดง) เทียน 3 เล่ม ไก่ย่าง อาหารคาวหวาน แป้งหอม ผ้า ด้ายขาวสายสิญจน์ ผูกห้อยเอาไว้เป็นเครื่องบูชาสังเวยรายอมูดอ พ่อหมอบรรเลงซอเป็นเนื้อเพลง (ดนตรี) อันเยือกเย็นและโหยหวนฟังไพเราะจับใจ อัญเชิญวิญญาณรายอมูดอให้มาประทับสิงร่างเข้าทรงคนป่วย เมื่อวิญญาณรายอมูดอมาเข้าทรงแล้ว พ่อหมอก็จะถามว่า “ท่านเป็นใคร” คนป่วยจะตอบว่า “เราคือรายอมูดอ” จากนั้นก็จะซักว่า มาทำร้ายลูกหลานทำไมมีวัตถุประสงค์อะไร ในที่สุดก็จะตกลงกันได้ และจะขอมีมหรสพแก้บนถวายอย่างใด เมื่อไร เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว วิญญาณของรายอมูดอก็จะออกจากร่าง คนไข้ก็จะหายเป็นปกติ ขนบนิยมในการแสดง เมื่อถึงเวลาประกอบพิธีผู้ป่วยนั่งหรือนอนในบริเวณประกอบพิธี โต๊ะมีโนะและโต๊ะมะตือรีนั่งหันหน้าเข้าหาผู้ป่วยและดำเนินการ ดังนี้ 1. การแสดงตือรีจะประกอบด้วยบอมอ (หมอ) ซึ่งมีชื่อเรียกว่าโต๊ะมีโนะ มีหน้าที่ขับร้องรำนำสรรเสริญเชื้อเชิญเทพเจ้า วิญญาณของบรรพบุรุษหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเรียกกันว่า โต๊ะตือรี หรือคนทรงเจ้า ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารระหว่างดวงวิญญาณกับโต๊ะมีโนะและมีคนเล่นดนตรีบรรเลงคู่กับการขับ ลำนำ 5 - 6 คน ได้แก่ คนซอ 1 คน รำมะนา 2 คน คนตีฆ้องใหญ่ 1 คน คนตีโหม่งหรือฆ้องราง 1 คน และอาจมีคนตีฉิ่งอีก 1 คน โดยโต๊ะมีโนะและโต๊ะตือรีจะนั่งหันหน้าไปทางผู้ป่วย ผู้เล่นดนตรีทุกคนนั่งทางขวามือของโต๊ะมีโนะ 2. การจัดเครื่องเซ่นหมอจะจัดเครื่องเซ่นที่ญาติผู้ป่วย เตรียมไว้ให้ใส่ถาด 2 ใบ ใบที่ 1 เอาด้ายดิบมาขดภายในถาดให้รอบถาดแล้วเทข้าวสารเหลืองกระจายให้ทั่วถาด เอา เทียนไข 1 เล่ม หมาก 1 คำ เงิน 5 บาท วางไว้บนข้าวสารเหลือง ใบที่ 2 เอาข้าวเหนียวเหลือง (นึ่งสุก) ใส่ลงในถาดทำให้เป็นรูปกรวยยอดแหลม เอาไข่ไก่ต้ม สุกปอกเปลือกครึ่งฟองนำไปปักไว้บนยอดแหลมของข้าวเหนียว โดยให้ส่วนที่ปอกเปลือกอยู่ด้านบน จุดตะเกียง 1 ดวง หรือเทียนไข 1 เล่ม วางไว้ข้างข้าวเหนียวเหลืองแล้วนำถาดทั้งสองไปใส่สาแหรกแขวนไว้เหนือศีรษะของผู้ทำพิธี ส่วนเครื่องเซ่นอีกส่วนหนึ่งให้จัดใส่จานดังนี้ ข้าวตอกจัดใส่จาน 2 ใบ ใบหนึ่งคลุกน้ำตาลทราย อีกใบหนึ่งไม่คลุกแล้วนำข้าวตอกทั้งสองจานมาวางไว้ตรงหน้าหมอ ขนมจีน 3 จับ หมากพลู 1 คำกำยาน ถ่านไฟกำลังติดใส่จานอย่างละ 1 ใบ ให้วางเรียงทางด้านซ้ายของจานข้าวตอก 3. เมื่อจัดเครื่องเซ่นเรียบร้อยแล้วหมอจะให้คนทรงนั่งหันหน้าตรงกับหมอ วางเครื่องเซ่นอยู่ระหว่างกลาง ให้ผู้ป่วย (ที่เข้าใจว่าเกิดจากผีร้าย) นอนในที่จัดไว้ในห้องพิธี จากนั้นคนทรงจะหยิบกำยานใส่ลงในจานที่ใส่ถ่านกำลังติดไฟและร่ายมนตร์ ขณะที่คนทรงกำลังร่ายมนตร์อยู่นั้น หมอจะสีซอ (รือบะ) คลอไปด้วยเมื่อ ร่ายมนตร์เสร็จหมอจะหยุดสีซอ คืนซอให้กับนักดนตรี แล้วหมอกับคนทรงไหว้ครูพร้อมกันดังนี้ “อาโปง แนแนะ มาอะดีกูรู กูรูยาแงตูเลาะ พาปอ แนแนะยาแง มารือกอ ดายอ” พอไหว้ครูเสร็จหมอก็ร่ายมนตร์เรียกผีมารับเอาเครื่องเซ่นและอธิษฐานบอกกล่าว ให้เทวดามาเป็นสักขีพยานช่วยปกป้องคุ้มครองผู้ป่วย 4. คนทรงจะทำพิธีเสี่ยงทายว่าผู้ป่วยเป็นโรคเกิดจากผีร้ายที่ใดโดยมีวิธีเสี่ยงทายอยู่ 2 วิธี คือเสี่ยงทายจากข้าวตอกเครื่องสังเวย และเสี่ยงทายจากเทียนไขโดยการดูเปลวเทียน 1) เสี่ยงทายจากข้าวตอก โดย โต๊ะมะตือรีกำข้าวตอกจากจานที่ไม่ได้คลุกน้ำตาลมาเต็มกำมือ กองแล้วหยิบครั้งละ 2 เม็ดไปวางบนพื้น หยิบครั้งแรกพูดขึ้นว่า “ดิน” หยิบครั้งที่ 2 พูดขึ้นว่า “น้ำ” หยิบครั้งที่ 3 พูดขึ้นว่า “ลม” หยิบครั้งที่ 4 พูดขึ้นว่า “ไฟ” ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเหลือข้าวตอกอู่หรือเม็ดสุดท้าย พูดลงคำใดโต๊ะมีโนะใช้คำนั้นเป็นหลักใน การทำนายและ 2) เสี่ยงทายด้วยการดูเปลวเทียน โดยโต๊ะมีโนะจุดเทียนไขขึ้นเล่มหนึ่ง แล้วทำนายสีของเปลวเทียน โดยโต๊ะมีโนะจุดเทียนไขขึ้นเล่มหนึ่ง แล้วทำนายสีของเปลวเทียน สำหรับคำทำนายทั้ง 2 วิธีมีดังนี้ ถ้าหยิบข้าวตอกครั้งสุดท้ายลงคำว่า “ดิน” หรือเปลวเทียนเป็นสีส้มหรือแดง ทำนายว่าสาเหตุของ การป่วยเกิดจากผีเจ้าที่ที่มาจากดิน ถ้าหยิบข้าวตอกครั้งสุดท้ายลงคำว่า “น้ำ” หรือเปลวเทียนเป็นสีม่วงหรือเขียวทำนายว่าสาเหตุของการป่วยเกิดจากผีน้ำ ผีทะเลหรือผีพราย ถ้าหยิบข้าวตอกครั้งสุดท้ายลงคำว่า “ลม” หรือเปลวเทียนเป็นสีขาวนวลทำนายว่าสาเหตุของ การป่วยเกิดจากผีเบื้องบน หรือไม่ก็เป็นผีที่อยู่ในตน ถ้าหยิบข้าวตอกครั้งสุดท้ายลงคำว่า “ไฟ” หรือเปลวเทียนเป็นสีเหลืองทำนายว่าสาเหตุของการป่วยเกิดจากผีที่ผู้ป่วยเคยบนบาทเอาไว้ แล้วมิได้แก้บน 5. หลังจากนั้นก็จะทำพิธีเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คณะตือรีของตนนับถือให้เข้าสิงโต๊ะมะตือรีเพื่อขับไล่ออกจากร่างผู้ป่วย แล้วให้คนทรงรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วย โดยวิธีใช้ปากดูดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายผู้ป่วยเพราะเชื่อว่าการดูดด้วยปากจะทำให้ผีที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยออกจากร่างผู้ป่วยได้ ซึ่งคนทรงจะต้องดูดผู้ป่วยถึง 5 ครั้ง ครั้งแรกจะดูดปลายเท้าของผู้ป่วยพร้อมกับดนตรีบรรเลง เมื่อดูดเสร็จดนตรีจะหยุดแล้วหมอจะถามคนทรงว่า “ผีมาจากไหน” คนทรงก็ตอบว่า “ผีมาจากดิน” หมอก็สั่งคนทรงว่าเขาต้องการอะไรให้จัดการให้เขา เสร็จแล้วดนตรีจะบรรเลงต่อ คนทรงก็ดูดร่างกายของผู้ป่วยเป็นครั้งที่ 2 ที่บริเวณท้องหรือลำตัว ครั้งที่ 3 ที่ลำคอ ครั้งที่ 4 ดูดที่ศีรษะหรือใบหน้าของผู้ป่วย ดูดเสร็จแต่ละครั้งหมอก็จะถามว่า “ผีมาจากไหน” คนทรงก็จะตอบว่ามาจากน้ำ ลม และไฟตามลำดับแล้วหมอก็สั่งให้คนทรงปฏิบัติเหมือนกับการดูดครั้งแรก การดูดครั้งที่ 5 ให้ดูดตามที่คนทรงเสี่ยงทายข้าวตอกว่าคู่สุดท้ายหรือเม็ดสุดท้ายอยู่ที่ใด ถ้าตกอยู่ที่ดินให้ดูดซ้ำที่ปลายเท้า ถ้าตกที่น้ำให้ดูดซ้ำที่บริเวณท้องหรือลำตัว ถ้าตกที่ลมให้ดูดซ้ำที่ลำคอ ถ้าตกที่ไฟให้ดูดซ้ำที่บริเวณศีรษะหรือใบหน้า 6. เมื่อคนทรงทำพิธีดูดผู้ป่วยเสร็จแล้วหมอไสยศาสตร์จะพูดกับผีในผู้ป่วยว่า “ขอให้ผีที่สิงอยู่ในร่างของผู้นี้ออกเสียเถิดแล้วเราจะจัดการสิ่งที่พวกเจ้าต้องการให้ทุกอย่าง” เมื่อหมอพูดและให้สัญญากับผีที่อยู่ในร่างของผู้ป่วยแล้วเชื่อกันว่าจะทำให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ ชาวไทยมุสลิมเป็นที่เชื่อมั่นในการรักษาไข้ด้วยวิธีนี้ เชื่อว่าถ้าคณะมะตือรีประกอบพิธีถูกต้อง อาการป่วยจะหายอย่างแน่นอน และการป่วยไข้ซึ่งเกิดจากการให้โทษของภูตผีไม่สามารถจะรักษาโดยใช้ยาแผนปัจจุบันหรือแพทย์ได้ ถ้าคณะมะตือรีที่มารักษาไข้แล้วไม่หาย ก็ต้องหามะตือรีคณะใหม่มารักษาต่อไป ดังนั้นจึงเป็นความนิยมศรัทธาของชาวบ้านในอดีต แต่ปัจจุบันความเชื่อเกี่ยวกับผีสางเทวดาได้เสื่อมไปมาก เพราะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เข้ามาแทนที่ แต่อย่างไรก็ตามการรักษาคนป่วยด้วยเสียงดนตรี ก็น่าจะมีประโยชน์มิใช่น้อย ความเชื่อเรื่องนี้แต่เดิมมีอยู่ในหมู่คนไทยมุสลิมในดินแดนกันดารบริเวณจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส แต่ปัจจุบันการแพทย์เจริญขึ้นประกอบทั้งเห็นว่าความเชื่อนี้ขัดกับหลักการทางศาสนา ความเชื่อนี้จึงแทบไม่เหลืออยู่อีกเลย. เอกสารอ้างอิง อุดม หนูทอง. 2531. ดนตรีและการละเล่นพื้นบ้านภาคใต้. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. สงขลา : คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา. สถาบันทักษิณคดีศึกษา. 2524. ดนตรีพื้นเมืองภาคใต้. โรงพิมพ์กรุงสยามการพิมพ์. สถาบันทักษิณคดีศึกษา. 2529. สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้. โรงพิมพ์อมรินท์การพิมพ์. ไพบูลย์ ดวงจันทร์. 2525. “ตือตรี : ดนตรีรักษาไข้ของชาวไทยมุสลิม” วัฒนธรรมไทย. 15(5) : 3-10, พฤษภาคม 2525. |
| เอกสารเพิ่มเติม |
ดาวน์โหลด |
เรามีการใช้คุกกี้ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งหรือเพื่อการทำงานของเว็บไซต์และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และเพื่อประสิทธิภาพในการใช้งาน คุณสามารถศึกษารายละเอียดนโยบายแนวปฎิบัติการใช้คุกกี้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้ที่ Cookies Policy